ตัวเลขล่าสุดในปี 2564 จากฐานข้อมูลเกษตรกรกลาง ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พบว่าประเทศไทยมีจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนสะสมไว้ถึงวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 จำนวนถึง 9,394,800 ราย ซึ่งแบ่งหมวดหมู่ย่อย อาทิ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น คงด้วยจำนวนเกษตรกรที่ค่อนข้างมากอย่างในวันนี้ประกอบกับการสร้างความรู้ความเข้าใจในรูปแบบวิธีจัดการข้อมูลข่าวสารยุคใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเกษตรกรส่วนหนึ่งจึงไม่สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบันได้ซึ่งส่งผลกระทบในหลายส่วน กระทั่งการจัดการผลผลิตและการจัดจำหน่ายทว่าข้อจำกัดด้านนี้ก็ได้คลายขึ้น เมื่อมีหลายหน่วยงานยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและให้คำแนะนำที่เป็นรูปธรรมขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ทุกฝ่ายตระหนักมากขึ้นว่า ทุกภาคส่วนในสังคมหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นหากเราสามารถช่วยเหลือและจับมือเกษตรกรที่ต้นน้ำ ให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างมีทิศทางและสัมฤทธิ์ผล ผลสะท้อนที่ดีก็จะส่งถึงเราที่ปลายน้ำเสมอเช่นกัน

โลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อุปสรรคหนึ่งบนเส้นทางการเกษตร


‘คุณชญาภา ธรรมรัตน์’ เกษตรกรและประธานกลุ่ม ‘ชุมชนลำหนองแสน จังหวัดกาฬสินธุ์’ ซึ่งเพาะปลูกมะม่วงพันธุ์ดีอย่างมะม่วงมหาชนก ในพื้นที่ตำบลลำหนองแสน เล่าให้ฟังว่า เส้นทางของเกษตรกรชาวสวนเองก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ กว่าจะได้พบพืชพรรณที่น่าสนใจ มีมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ และสามารถเพาะปลูกในท้องถิ่นจนให้ผลผลิตก็ต้องอาศัยเวลา ขณะเดียวกันปัญหาใหม่ๆ ที่ได้พบในปัจจุบัน คือการจัดจำหน่ายในรูปแบบเดิมๆ เริ่มไม่ใช่หนทางสู่ความสำเร็จอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อโลกมีตัวเลือกของผลผลิตอื่นอีกมากประกอบกับรูปแบบชีวิตที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย จนถึงภาวการณ์ใหม่ของโลกที่ต้องร่วมกันรับมืออย่างภาวะโรคระบาดโควิด-19

“เกษตรกรในชุมชนของเราปลูกพืชหลากหลาย โดยมะม่วงพันธุ์มหาชนกเป็นหนึ่งในนั้น มะม่วงมหาชนกเป็นมะม่วงพันธุ์ผสมที่เกิดเองตามธรรมชาติ เป็นการผสมกันของมะม่วงป่าและมะม่วงหนังกลางวันหรือมะม่วงงวงช้าง ภายนอกจะลูกใหญ่เหมือนงวงช้าง แต่รสชาติหอมหวานมาก เราเก็บผลผลิตและจำหน่ายได้ปีละครั้ง คนทั่วไปจึงอาจจะรู้จักในวงกว้างไม่มาก ที่ผ่านมาเราได้ส่งขายตลาดในประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น ยอดขายดีมากจนกระทั่งปีที่แล้วที่เราเริ่มได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถึงได้รู้ว่าการขายแบบเดิมๆ ไม่ใช่ทางออกของกลุ่มฯ และตัวเกษตรกรเอง แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าควรจะเดินทางไปในแนวไหนเพื่อให้อยู่รอด”

คุณชญาภา เล่าว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก เป็นจุดเริ่มต้นของการตระหนักรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเดินทางมาถึง แต่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะทราบดีว่า “เครื่องมือแห่งยุค” อย่างการตลาดออนไลน์ ก็เป็นคำตอบของทางเลือกที่น่าสนใจ ความไม่เชี่ยวชาญกับความไม่ถนัด ก็ทำให้เครื่องมือที่อยู่ใกล้มือที่ควรจะสัมฤทธิ์ผล กลายเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ

“โควิดรอบแรก ใครๆ ก็พยายามปรับตัวเขาพูดถึงการขายออนไลน์กัน เราก็พอมองภาพออก แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าพวกเราเป็นเพียงแค่เกษตรกรชาวสวนธรรมดา ถึงจะมีเฟซบุ๊ก มีไลน์ แต่มันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำยังไง เราถึงจะขายของได้ ทำยังไงคนถึงจะสนใจผลผลิตของเรา จนกระทั่งเริ่มมาคิดว่า ถ้าเราไม่รู้ ไม่เชี่ยวชาญ เราก็ต้องเดินเข้าไปหาคนที่เขารู้และเชี่ยวชาญ เพื่อให้มาเป็นผู้แนะนำ โชคดีว่าก่อนหน้านั้น ทางกลุ่มฯ เองก็มีโอกาสทำกิจกรรมกับหน่วยงานอื่นภายนอกอยู่บ้าง เราก็เลยตัดสินใจติดต่อเข้าไปหาด้วยตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือ”

ก่อนหน้านี้คุณชญาภาและกลุ่มชุมชนลำหนองแสน จังหวัดกาฬสินธุ์ เคยมีโอกาสร่วมโครงการพลังงานเพื่อชุมชน และโครงการวิถีพอเพียงกับกลุ่ม ปตท. มาก่อน จึงเชื่อว่าหากกล้าติดต่อเข้าไปขอคำแนะนำก็น่าจะได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ แต่ผลกลายเป็นว่ากลุ่มชุมชนลำหนองแสนกลับได้รับมากกว่าคำแนะนำเนื่องจากได้เข้าร่วม ‘โครงการชุมชนยิ้มได้’ โดยกลุ่ม ปตท. ซึ่งเป็นโครงการที่มีจุดมุ่งหมายหนึ่งในการนำเอาความรู้และศักยภาพของกลุ่มเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกร โดยใช้ยุทธศาสตร์ด้านประชาสัมพันธ์เป็นตัวขับเคลื่อน คุณชญาภาเอ่ยว่า ประตูสู่องค์ความรู้ใหม่จึงได้เริ่มขึ้น ณ วันนั้น

เปิดประตูสู่ความรู้ใหม่ “เกษตรกรออนไลน์”

การได้เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการใช้เครื่องมือออนไลน์ในการจำหน่ายผลผลิตของกลุ่มชุมชนลำหนองแสนนับได้ว่าเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่จะเป็นทางรอดของเกษตรกรยุคนี้ได้ ไม่เพียงช่วยให้ผลผลิตไม่ตกค้างในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เท่านั้นแต่การได้เริ่มเป็นเกษตรกรออนไลน์ฝึกหัดทั้งจากการใช้เครื่องมืออย่างเฟซบุ๊ก และ LINE ด้วยความเข้าใจและการจัดการเป็นระบบ ก็นำมาซึ่งความตื่นเต้นต่อองค์ความรู้ที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ขณะเดียวกันสิ่งที่นำมาซึ่งความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากก็คือการที่ได้ทำให้มะม่วงมหาชนกได้รับความสนใจในวงกว้างในประเทศมากขึ้น คุณชญาภาเอ่ยด้วยความปลื้มใจว่า ผู้ซื้อหลายคนส่งข้อความมาพูดคุย ขอบคุณ หลายคนซื้อซ้ำ รอยยิ้มจากคนที่ได้รับก็สร้างรอยยิ้มให้เกษตรกรเช่นกัน

เช่นเดียวกับ ‘วิสาหกิจชุมชนพลูฟ้า จังหวัดนครปฐม’ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เด่นอย่างหมี่กรอบสมุนไพรหลากรส ก็ได้อาศัยแนวทางของการสื่อสารยุคใหม่เป็นเครื่องมือสำคัญในการประชาสัมพันธ์และจัดจำหน่ายสินค้าแบบออนไลน์เช่นกันโดย ‘คุณขวัญเรือน ทองประทีป’ กรรมการวิสาหกิจชุมชนพลูฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับโอกาสใหม่ในครั้งนี้กล่าวว่า การได้รับความช่วยเหลือในรูปแบบองค์ความรู้แบบนี้มีคุณค่าอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ช่องว่างทางด้านการเรียนรู้เรื่องดิจิทัลและออนไลน์มีสูง

“วิสาหกิจชุมชนพลูฟ้า จังหวัดนครปฐม ของเรามีหลากหลายผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็แปรรูปมาจากพืชผลในท้องถิ่นที่เกษตรกรของเราปลูก สินค้าเด่นคือหมี่กรอบสมุนไพรซึ่งมีหลายรสให้เลือก โดยเราเริ่มทำหมี่กรอบมาตั้งแต่ปี 2559 ที่ผ่านมาเราก็ขายกันในตลาดน้ำ ตรงตลาดน้ำคลองมหาสวัสดิ์ รวมไปถึงที่อื่นๆ บ้าง และเพิ่งมาเริ่มขายออนไลน์ พอมาถึงยุคโควิด-19 ที่คนไม่ค่อยออกจากบ้านไปจับจ่าย ยอดก็ตกลงไปถึง 80 เปอร์เซ็นต์จริงๆ สมาชิกของวิสาหกิจชุมชนเราส่วนมากจะเป็นสูงวัยและผู้ว่างงานที่ออกมาทำงานเพื่อหารายได้เสริม ซึ่งรวมกลุ่มเพื่อสร้างอาชีพมาตั้งปี 2554 ปีที่มีน้ำท่วมใหญ่ พอมาปีที่แล้วที่มีโควิด เราก็ได้รับผลกระทบมากๆ แต่ด้วยความเราเป็นเกษตรกร และผู้สูงวัยเราก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการทำประชาสัมพันธ์ หรือขายของออนไลน์ จนกระทั่งมีหน่วยงานเข้ามาช่วยสอน อย่างเจ้าหน้าที่โครงการชุมชนยิ้มได้ ของ ปตท. ก็เข้ามาช่วยเยอะมาก ทั้งเข้ามาสอน มาให้คำแนะนำจริงๆ จังๆ อีกอย่างหนึ่งการร่วมโครงการนี้ก็ทำให้สินค้าของเราได้โปรโมทต่อในช่องทางของโครงการคนก็รู้จักเรามากขึ้น ยอดสั่งซื้อก็เพิ่มขึ้นเยอะ ย่ายายผู้สูงวัยตื่นเต้นดีใจกันมาก”

การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรในวันนี้ จึงอาจต้องเป็นมากกว่าแค่การทำโครงการด้วยการลงแรงเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต การมอบองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อติดปีกแก่เกษตรกรนับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ยิ่งในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ ความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ ก็ยิ่งควรจะต้องถูกเติมเข้าไปมากขึ้นเท่านั้นด้วย เพื่อความเท่าทันยุค การอาศัยความถนัดและศักยภาพที่มีของกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการชุมชนยิ้มได้ จึงนับเป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจของการทำโครงการเพื่อสังคมในรูปแบบใหม่ด้วย และหากถอดบทเรียนความสำเร็จของโครงการลักษณะนี้ ก็จะพบแนวทางการดำเนินโครงการที่น่าสนใจ และอาจสามารถนำมาเป็นแบบแผนให้องค์กรอื่น หรือโครงการอื่นๆ ใช้ต่อยอดได้ด้วย นั่นคือ

1) การตกผลึกเรื่ององค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม

2) การเข้าถึงตัวเกษตรกรและชุมชนโดยตรง ซึ่งประเด็นนี้สำคัญมาก เนื่องจากช่องว่างเรื่องความรู้ความเข้าใจในยุคดิจิทัลสำหรับเกษตรกรและผู้สูงวัยนั้นมีสูง

3) การใช้ศักยภาพในโครงข่ายด้านการประชาสัมพันธ์ รวมถึงเครือข่ายออนไลน์ขององค์กรให้มีประโยชน์

คุณขวัญเรือนจากวิสาหกิจชุมชนพลูฟ้า จังหวัดนครปฐม ยังได้กล่าวถึงประเด็นหลังนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า การที่องค์กรต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรอย่างชัดเจน โดยเข้ามาคลุกคลีเป็นส่วนหนึ่งเพื่อทำความเข้าใจในปัญหาและจับมือเดินต่อเพื่อให้พบแนวทาง โดยไม่ทอดทิ้งมีส่วนสำคัญมากต่อการทำให้องค์ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอด ถูกนำไปใช้ต่อได้อย่างเกิดประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผลซึ่งวิธีการทำงานเช่นนี้ย่อมดีกว่าการมอบแนวทางการปฏิบัติเพียงอย่างเดียวแล้วจากไป

“วันนี้เราก็ยังเป็นเกษตรกรกันอยู่เหมือนเดิมถึงจะเริ่มขายของผ่านออนไลน์มากขึ้น และตื่นเต้นกันมากเวลามีคนสั่งซื้อ ได้นั่งแพ็คของเตรียมส่ง ได้คุยกับลูกค้าจริงๆ จากที่ต่างๆ มากมายที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่กว่าจะสามารถขายออนไลน์ได้ ประชาสัมพันธ์สินค้าตัวเองเป็น ก็ได้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ และโครงการชุมชนยิ้มได้เข้ามาช่วยเยอะมาก โครงการแบบนี้ดีตรงที่เขาไม่ทิ้งเรา ไม่ได้เข้ามาแค่ครั้งเดียวแล้วก็หายไป แต่เข้ามาแนะนำอยู่เรื่อยๆ เข้ามาสอนมาแนะนำจนเราเข้าใจและทำด้วยตัวเองเป็น ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่โครงการก็ยังสอบถามถึงผลตอบรับจากการขายออนไลน์ของเราอยู่เรื่อยๆ ถ้าเกษตรกรหลายๆ ที่ได้รับความรู้แบบนี้ ก็น่าจะช่วยให้ขายของได้มากขึ้น และอยู่รอดได้ในยุคโควิดแบบนี้ด้วย”

การส่งต่อองค์ความรู้อย่างเป็นรูปธรรมจึงมีความหมายอย่างมากต่อเกษตรกรในวันนี้ด้วย ซึ่งแนวทางของโครงการชุมชนยิ้ม โดยกลุ่ม ปตท. ก็นับได้ว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของโครงการเพื่อสังคมที่มีแนวทางการดำเนินงานที่น่าสนใจ เป็นรูปธรรม และสัมฤทธิ์ผล

สำหรับกลุ่มชุมชนลำหนองแสน จังหวัดกาฬสินธุ์ และวิสาหกิจชุมชนพลูฟ้า จังหวัดนครปฐม ในฐานะที่ได้รับการติดปีกความรู้ และเปิดประตูบานใหม่ได้สำเร็จ โดยมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นแรงผลักอันใหญ่หลวง วันนี้ก็ได้ส่งความภูมิใจและคำขอบคุณต่อไปยังภาคส่วนอื่นด้วยผลิตภัณฑ์จากชุมชน เพื่อร่วมมอบกำลังใจในรูปแบบของคุณค่าจากสิ่งที่ตนมี โดยต่อยอดไปยัง ‘โครงการลมหายใจเดียวกัน’ ซึ่งกลุ่ม ปตท. ได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากชุมชนลำหนองแสน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยได้มอบมะม่วงมหาชนกกว่า 3 ตัน ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่ออกหน่วยฉีดวัคซีน และประชาชนที่มารับวัคซีน ณ หน่วยฉีดเคลื่อนที่เชิงรุกชุมชนดินแดง ชุมชนคลองเตยเขตหลักสี่ และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชนพลูฟ้า จังหวัดนครปฐม เพื่อส่งรอยยิ้มแก่กันและกันด้วย

…เมื่อเกษตรกรยิ้มได้ สังคมก็ยิ้มได้ นับได้ว่าเป็นเรื่องจริง

สนใจมะม่วงมหาชนก จาก ชุมชนลำหนองแสน จังหวัดกาฬสินธุ์ ติดต่อผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ :กลุ่มผลิตผักผลไม้ลำหนองแสน โทร.064 274 7116

สนใจหมี่กรอบและผลิตภัณฑ์อื่นๆ จาก วิสาหกิจชุมชนพลูฟ้า จังหวัดนครปฐม ติดต่อผ่าน เฟซบุ๊กแฟนเพจ : วิสาหกิจชุมชนพลูฟ้า Plufa โทร. 087 043 3616

ข้อมูลเพิ่มเติม โครงการชุมชนยิ้มได้ เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ชุมชนยิ้มได้ โดย กลุ่ม ปตท.