- มอนสเตอร่าใบด่าง เกิดจากอะไร ทำไมคนถึงอยากเป็นเจ้าของ ราคาพุ่งหลักล้าน
- คุยกับเจ้าของสวน อย่าเรียกว่าปั่นราคา ขอเรียกว่าโอกาสชาวสวน
- ต้นไม้ไม่เคยทำให้ใครล่มจม แนะมือใหม่อย่าหวังกำไรระยะสั้น ขอมุ่งมั่นตั้งใจจริง แล้วจะพบความสุขของชีวิต
มนุษย์กับต้นไม้อยู่ร่วมกันมานานแล้ว เราเรียนรู้ว่าการปลูกต้นไม้สร้างประโยชน์มากมายมหาศาล จากผลวิจัยของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ ซึ่งตีพิมพ์ใน "รายงานของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ของสหรัฐฯ ระบุการปลูกต้นไม้หรือป่าเพิ่มขึ้น การเกษตรที่ยั่งยืนและการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ หนองบึง การจัดการดินและทุ่งหญ้าให้ดีขึ้นจะช่วยสู้ภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การปลูกต้นไม้ยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
ขณะที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้กระแสการซื้อขายต้นไม้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะต้นไม้ใบด่าง ที่ราคาซื้อขายพุ่งสูงถึงต้นละหลักล้านบาท จนหลายคนเกิดความสงสัยว่า เหตุใดราคาจึงพุ่งสูงขนาดนี้ และในท้องตลาด มีการซื้อขายจริงในราคาเท่าไรกันแน่
...
มอนสเตอร่าใบด่าง เกิดจากอะไร
จากการสอบถาม พ่อค้าต้นไม้ร้านหนึ่งในกรุงเทพฯ บอกกับเราว่า มอนสเตอร่าใบด่าง คาดว่าเกิดตามธรรมชาติเป็นการผิดปกติตามสายพันธุ์ เรียกง่ายๆ ว่า การกลายพันธุ์ ซึ่งปกติแล้วมอนสเตอร่าทั่วไป มีใบสีเขียว เช่นเดียวกับพืชและสิ่งมีชีวิตอื่น ก็สามารถเกิดการกลายพันธุ์ได้
มอนสเตอร่า กลายพันธุ์ จะมีความด่างเกิดขึ้นมาเหมือนกับคนเผือก ซึ่งในต้นไม้เมื่อมีความผิดปกติ คนก็มองว่าสวย เกิดเป็นความนิยม และด้วยความที่พบได้น้อย จึงทำให้มีราคาค่อนข้างสูง หากย้อนกลับไปประมาณ 20-30 ปีที่แล้ว ราคาซื้อขายต่อต้น อยู่ที่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ไม่เหมือนตอนนี้ที่ราคาพุ่งไปจนถึงหลักแสน
ต่อมาทราบว่ามีนักวิชาการ ที่ศึกษาพวกพันธุ์ไม้ได้นำมอนสเตอร่าใบด่างไปขยายพันธุ์ โดยไม่รอให้เกิดการกลายพันธุ์เอง เพราะใช้เวลานาน ส่วนตัวคิดว่า จริงๆ แล้วคนไทยมีความรู้และมีความเก่งเรื่องพันธุ์พืชอยู่แล้ว หากขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเนื้อเยื่อในหลอดแก้ว จาก 1 ต้น อาจนำไปขยายพันธุ์ได้เป็นร้อยๆ ต้น
จากนั้นจะคัดเฉพาะต้นหน่อที่มีเปอร์เซ็นต์ความด่างมาก ถ้าคิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ หากกระถางหรือหน่อนี้มีความด่างประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ก็จะเลือกมาเป็นแม่พันธุ์ เพราะต้นที่นำมาขยายพันธุ์จะมีโอกาสโตมาแล้วจะมีความด่างที่ใกล้เคียงกับต้นแม่พันธุ์ หรือบางครั้งความด่างอาจจะลดลงไปแต่ก็จะยังอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่ต้องการ แต่หากนำหน่อพันธุ์ที่ด่างไม่มากมาพัฒนา สิ่งที่ได้จะไม่คุ้มค่ากับการทำแล็บแบบนี้
มอนสเตอร่าบนโลกใบนี้มีเป็นร้อยๆ สายพันธุ์ ยกตัวอย่างสายพันธุ์ยอดนิยม ได้แก่
- มอนสเตอร่า เดลิซิโอซ่า (Monstera Deliciosa) หรือที่เรียกกันตามท้องตลาดว่า ไจแอนท์ จะอยู่เจริญเติบโตตามดิน ไม่เลื้อย ใบจะมีขนาดใหญ่จึงเรียกว่า ไจแอนท์
- มอนสเตอร่า บอร์สิเจียน่า (Monstera Borsigiana) เป็นพันธุ์เลื้อย มีหลักการแยกทั้ง 2 พันธุ์ง่ายๆ คือ เลื้อยกับไม่เลื้อย ส่วนหน่อจะอยู่ห่างกันคือระยะของการแทงใบ มอนสเตอร่าพันธุ์เลื้อยมีเกิดความด่างเหมือนกันตามพัฒนาสายพันธุ์ไป เมื่อก่อนนี้คนที่เล่นจริงๆ จะไม่ค่อยสนใจพันธุ์เลื้อยทำให้ราคาถูก แต่หากพันธุ์เลื้อยมีความด่าง ราคาจะแพงขึ้นมา แต่ด่างเหลืองจะมีราคาถูกกว่า ด่างขาว
...
- มอนสเตอร่าพันธุ์เลื้อยที่มีราคาแพงมากจะเป็น มอนสเตอร่า อัลโบ (Monstera Albo) หรือใบด่างขาว มีสีขาวเหมือนวัวนม สีลวดลายตัดกันชัดเจน ตัวนี้ราคาจะอยู่หลักแสน
- นอกจากนี้ยังมี มอนสเตอร่า ไทยคอน (Monstera thai constellation) จะเป็นมอนสเตอร่าไจแอนท์ใบด่าง เกิดจากนักวิจัยพัฒนาของไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแล็บวิจัยอยู่ภายในสวน จะเปิดขายให้เฉพาะคนที่สั่งจองมอนสเตอร่าใบด่างครั้งละเป็นลอตใหญ่และต้องโอนเงินมัดจำไปก่อน ยกตัวอย่าง ต้นอ่อน จะต้องสั่งจองขั้นต่ำประมาณ 50-100 ต้น จากนั้นต้องจ่ายเงินมัดจำไปก่อนแล้วรอรับของตอนที่ต้นอ่อนมีความแข็งแรง ซึ่งในปัจจุบันราคาอาจจะมากกว่า โดยหลักๆ จะส่งออกไป อเมริกา โซนยุโรป และเมื่อมีการวิจัยพัฒนาขยายพันธุ์มอนสเตอร่าเก่งขึ้น มีความชำนาญและแม่นยำมากขึ้น จึงตั้งชื่อและจดลิขสิทธิ์ว่า Monstera thai constellation เพราะต้องการให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ให้คนรู้ว่าเป็นการพัฒนาพันธุ์ด่างที่มาจากคนไทย
...
สำหรับจุดเด่นของ มอนสเตอร่าไทยคอน จะเกิดความด่างตั้งแต่เกิดและจะด่างไปตลอด ความด่างของมอนสเตอร่าไทยคอน กับ มอนสเตอร่าอัลโบ คือ ไทยคอนจะขาวออกครีม ความด่างจะกระจาย มาจากชื่อ constellation คือการกระจายของหมู่ดาว
การดูแลมอนสเตอร่าใบด่าง มีข้อระวังคือ ห้ามรดน้ำด้วยน้ำประปา หรือน้ำที่มีคลอรีน เพราะจะทำให้ส่วนที่ด่างเสียหาย ใบไหม้ เป็นรู คนที่เลี้ยงต้นไม้แบบนี้จะมีรายละเอียดการดูแลลงลึกไปอีก เช่น จะใช้เครื่องปลูกพิเศษ มีการจะควบคุมแสง น้ำ ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อรักษาความด่างในเวลาที่ต้นไม้แทงใบใหม่ออกมา ที่สำคัญคือ ยิ่งใบมีเปอร์เซ็นต์ความด่างมาก ก็ยิ่งทำให้ราคาแพง แต่บริเวณที่ด่างจะอ่อนแอมาก ถ้าดูแลไม่ดีอาจจะทำให้เหี่ยวหรือตายได้ ใบไหม้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นคนที่เลี้ยงต้นไม้ใบด่างจึงต้องลุ้นตลอดเวลา ทั้งการดูแลและช่วงที่ต้นไม้แทงใบใหม่ออกมาว่าด่างหรือไม่ นี่คือความตื่นเต้น ที่เป็นเสน่ห์ของคนที่ซื้อมอนสเตอร่าใบด่างไปเลี้ยง
...
อย่างไรก็ตาม พันธุ์ไม้ทุกชนิดบนโลก มีโอกาสเกิดความด่าง ยกตัวอย่าง "ต้นมะขามป้อมด่าง" เดิมเป็นต้นมะขามที่เกิดตามธรรมชาติอยู่แถวอีสาน ขึ้นตามบ้านคน แต่เมื่อกลายพันธุ์ เกิดใบด่าง ลักษณะใบจะออกเป็นขาวชมพูปนกัน ปรากฏว่า คนมองว่าสวย เลยขุดมาขยายพันธุ์ ในปัจจุบันต้นมะขามป้อมธรรมดาราคาจะอยู่ประมาณหลักพันบาท แต่พอมันด่างราคาก็อาจเปลี่ยนเป็นหลักหมื่นได้ ยิ่งต้นใหญ่ ราคาอาจจะสูงขึ้นถึงหลักแสนได้ จริงๆ ต้นไม้ทุกต้นมีโอกาสด่าง โอกาสในการกลายพันธุ์ จะมากน้อยต่างกันไป
มอนสเตอร่าด่าง กับคำว่า "แพง" จุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน
จากการสอบถาม เจ้าของสวนซื้อขายต้นไม้อีกร้านหนึ่งในภาคตะวันออก เปิดเผยว่า กระแสความนิยมของ มอนสเตอร่าใบด่างในขณะนี้ ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้ปั่นราคา แต่เป็นราคาต้นไม้จริงๆ ตามกลไกตลาด ราคาหลักแสนไปจนถึงหลักล้าน เพราะมีการซื้อขายกันจริง ไม่เหมือนกุ้งเครย์ฟิช ที่เป็นกระแสก่อนหน้านี้แล้วหายไป แต่คำว่า "แพง" ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เพราะความพอใจที่จะซื้อ ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ในช่วงที่ตนซื้อต้นไม้แรกๆ "มอนสเตอร่า" ราคาอยู่ที่ประมาณใบละ 1,000 บาท อีก 2-3 ปีต่อมา ราคาขึ้นมาประมาณใบละ 5,000-10,000บาท จนถึง หลักแสนบาท ต่อ 1 ใบซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ดังนั้น บอกไม่ได้ว่าคำว่า "แพง" อยู่ตรงไหน ยกตัวอย่าง ตนซื้อมอนสเตอร่ามินต์ ในราคาใบละ 10,000บาท ต่อมาคนขายตั้งราคาขายใบละ 20,000บาท ปรากฏว่ามีคนซื้อ ส่วนอีกคนขายใบละ 100,000บาท ก็ยังมีคนซื้อ จะเห็นได้ว่าความต้องการของคนไม่สิ้นสุด
สำหรับจุดเริ่มต้นของการซื้อขายต้นไม้ของตน เริ่มมาจากการเป็นเกษตรกร เมื่อ 6 ปีที่แล้วได้เริ่มทำมะนาวในวงบ่อ ขายกิ่งมะนาว ช่วงเวลานั้นได้รับความนิยมมาก แต่ไม่นานความนิยมก็ลดลง กิ่งมะนาวขายไม่ได้ ไม่มีกำไร จึงหันมาปลูกมะเดื่อฝรั่ง กล้วยด่างและปลูกไม้ใบแทน เริ่มจากเป็นพันธุ์กล้วยใบด่าง 2 ปี และ ไม้ใบ จำพวกมอนสเตอร่าและพิโลเดนดรอน 3 ปีขณะที่ "กล้วยด่าง" ซึ่งเป็นต้นไม้ยอดฮิตในช่วงนี้ เนื่องจากนางเอกสาว "ญาญ่า อุรัสยา" ถ่ายรูปด้วย เมื่อถามถึงความนิยมของพันธุ์ไม้ชนิดนี้
ตนมองว่า ญาญ่า เป็นตัวกระตุ้นและประกอบกับคนส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านช่วงโควิด-19 จึงทำให้กระแสความนิยมและเป็นที่รู้จักมากขึ้น คนที่ชอบปลูกต้นไม้นิยมเลี้ยงกล้วยด่างมานานแล้ว แต่เมื่อก่อนความนิยมอยู่ในวงแคบ ประกอบกับคำว่า ปลูกกล้วย ทำให้หลายคนมองภาพว่าต้องใช้พื้นที่ในการปลูก เมื่อมีโควิด และญาญ่า นำมาโพสต์ ทำให้มุมมองของคนเริ่มเปลี่ยน เข้าใจว่ากล้วยก็สามารถปลูกในกระถางได้ นำมาไว้ในบ้านหรือในห้องได้ จึงหันมาปลูกกล้วยด่างตามญาญ่า
นอกจากนี้อีกสิ่งที่ทำให้ราคาสูงขึ้น คือ สินค้ามีเท่าเดิม แต่คนในเมืองที่มีกำลังซื้อสูง หันมาซื้อมากขึ้น ทำให้เกิด Demand Supply หรือ อุปสงค์ อุปทาน สินค้าอย่าง กล้วยด่าง มีน้อย คนต้องการซื้อมาก ราคาจึงสูง
"มอนสเตอร่าด่าง" ใครๆ ก็บอกว่าดูแลยาก
ขณะที่ "มอนสเตอร่าด่าง" ก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับ มอนสเตอร่าปกติแล้ว การดูแลสายพันธุ์ด่างจะมีต่างกัน คือ มอนสเตอร่าใบเขียว จะมีความต้านทานโรคได้ดีกว่า เพราะสามารถสังเคราะห์แสงได้เต็มที่ มีความแข็งแรงมากกว่าใบด่าง เพราะเป็นพันธุ์ปกติตามธรรมชาติ ขณะที่ใบด่าง ส่วนที่เป็นสีขาว สีเหลืองจะสังเคราะห์แสงได้น้อย หรือไม่ได้เลย ทำให้ต้นไม้ไม่แข็งแรง แต่ก็ไม่ได้เลี้ยงยากจนเกินความสามารถของมนุษย์ ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงในการเลี้ยงมอนสเตอร่าด่าง มีดังนี้
1. วัสดุการปลูก เน้นชื้น แต่ไม่แฉะ
2. การให้น้ำที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป และไม่แห้งเกินไป
3. อุณหภูมิ ถ้าเลี้ยงในอากาศร้อนและไม่มีความชื้น จะทำให้ส่วนใบที่ด่างไหม้
4. การดูแลแมลงกับปุ๋ย จะไม่ต่างกับมอนสเตอร่าปกติ แต่แนะนำให้เลี้ยงมอนสเตอร่าใบด่างในสแลน
5. ห้ามโดนแดด 100 เปอร์เซ็นต์ หรือให้มีสแลนกรองแสงแดด
แมลงศัตรูพืชที่มักพบในมอนสเตอร่าและฟิโลเดนดรอน ได้แก่ 1. หนอนผีเสื้อ กินใบ 2. ไรแดง กินใต้ใบ ทำให้ใบพืชเป็นจุด 3. เพลี้ยหอย และ 4. เพลี้ยแป้ง
ทั้งนี้ หากผู้เลี้ยงใช้กาบมะพร้าวสับจะให้ความชุ่มชื้นมาก จึงไม่ต้องรดน้ำบ่อย แต่ถ้าใช้ เพอร์ไลท์ (Perlite) หรือหินภูเขาไฟที่มีลักษณะเป็นรูพรุน เวลารดน้ำจะระเหยได้ไว ไม่อุ้มน้ำ จะต้องรดน้ำ 2-3 ครั้งต่อวัน ดังนั้นการปลูกต้นไม้จึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้เลี้ยงด้วย
สำหรับผู้เลี้ยงมือใหม่ แนะนำว่า ให้หาจานรองน้ำ แล้วใช้อิฐมอญรอง นำต้นไม้มาวางสูงกว่าจานรองเล็กน้อยแล้วรดน้ำ เมื่อน้ำในจานเริ่มแห้งจึงรดอีกครั้ง
มอนสเตอร่าใบด่าง ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ แบบไหนฮิต-ราคาสูง
สำหรับสีของการด่างในมอนสเตอร่า จะมีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว สีมินต์ และ สีเหลือง โดยลักษณะของการด่างที่ได้รับความนิยม จะมีดังนี้
1. การด่างแบบฮาฟมูน คือใน 1 ใบจะเกิดการด่างครึ่งหนึ่งพอดี สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งครึ่งมินต์ ครึ่งสีขาว และ ครึ่งสีเหลือง แต่จะเกิดลักษณะแบบนี้ได้ยากมาก และส่วนมากจะมีราคาแพงที่สุด
2. ใบด่างลายวากิว ลักษณะการด่างแบบเขียวขาวสลับกัน จะคล้ายกับลายเนื้อวากิวของญี่ปุ่น
3. ด่างแบบปื้นๆ เหมือนคนเอาสีไปป้ายใบ
4. ฟูลมินต์ หรือ ใบมินต์ทั้งใบ
แต่การที่จะตัดสินว่า "มอนสเตอร่าด่าง" แบบไหน ลักษณะอย่างไรจะมีราคาแพง เพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้
- สายพันธุ์
- เทคเจอร์ความสวย องค์ประกอบการด่าง ถ้าใบหนึ่งมีความด่างประมาณ 70-100% และลวดลายความด่างที่มองแล้วสวย
- ขนาดของต้น
- ความสมบูรณ์
- จำนวนใบ
คาดการณ์กระแสความนิยม "มอนสเตอร่าด่าง" ในอนาคต
คำว่า "กระแสต้นไม้" ถ้าอิงตามราคา อาจมีขึ้น มีลง แต่ถ้าเป็นกระแสของคนเล่นต้นไม้จริงๆ มีมานานมากหลายสิบปีแล้ว แต่จำกัดเฉพาะกลุ่ม ซึ่งคนที่เข้ามาในวงการตอนนี้ บางคนเห็นช่องทางในการทำธุรกิจ เป็นการลงทุน เลยทำให้ราคาแพงขึ้น ทุกคนมองเห็นโอกาส จึงเข้ามาในวงการนี้ เช่น ลงทุนซื้อมอนสเตอร่ามินต์ในราคา 1.2ล้านบาท มี 4 ใบ จะตกใบละ 3 แสนหากนำมาเลี้ยงแล้วมีใบงอกออกมาเพิ่ม 2 ใบ ก็จะได้กำไร 6 แสน และถ้าแยกแต่ละใบมาเพาะเลี้ยง จนมีใบงอกขึ้นใหม่อีก ในเวลา 3 เดือน อาจจะได้กำไรเพิ่มอีกเป็นล้าน
ซึ่งราคาที่ขายในประเทศไทยตอนนี้ เท่ากับราคาที่ขายในต่างประเทศ ซึ่งไม้ใบชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็น มอนสเตอร่า ฟิโลเดนดรอน เราส่งขายในต่างประเทศด้วย เช่น โซนยุโรป อเมริกา แคนาดา เยอรมนี รัสเซีย ฮ่องกง เวียดนาม เป็นต้น.
มุมมองการเลี้ยง "มอนสเตอร่า" จากเจ้าของสวน
จากการสอบถาม เจ้าของสวนรายใหญ่แห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า มอนสเตอร่า จะมีลักษณะใบหนา แข็งแรง เป็นต้นไม้ที่อยู่ในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ช่วยบดบังแสงแดด ทำให้ได้รับแสงน้อย มอนสเตอร่าจึงอยู่ในร่มได้ทน และส่วนใหญ่คนเราทุกวันนี้ใช้ชีวิตอยู่คอนโด อยู่ห้องแคบๆ เพื่อทำงาน สุดท้ายจึงหันมาหาต้นไม้
กระแสต้นไม้ใบด่างมีมานานแล้ว คนไทยเอง เล่นไม้ด่างกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว สำหรับ “มอนสเตอร่าใบด่าง” คนเล่นกันทั้งโลก ตั้งแต่หน้าวัวด่าง แต่อยู่ในกลุ่มนักสะสม คนทั่วไปไม่มีปลูก แต่หลังจากที่มีสื่อโซเชียล ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม คนก็เริ่มถ่ายรูปต้นไม้ของตัวเองมาโพสต์
ประกอบกับปัจจุบัน มีการระบาดของโควิด-19 คนอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่ไม่รู้จะทำอะไร บางคนแต่งห้อง ถ่ายรูปต้นไม้ แล้วนำมาลงสื่อโซเชียล บางคนเห็นถึงความสวย ก็เกิดความสนใจ
ส่วนที่ประกาศขายต้นละเป็นล้าน สำหรับตนไม่ใช่กระแส เพราะมีคนซื้อกันหลังไมค์ต้นละ 3 ล้าน 5 ล้าน เป็นเรื่องปกติ ส่วนราคาที่โพสต์ขายกันราคา 1.4-1.5 ล้านถือว่า ราคาธรรมดามาก ที่สำคัญ สวนใหญ่ๆ ที่ซื้อไปทำจำนวน หรือขยายพันธุ์ต่อ จะใช้เงินมากกว่านี้
ผมมีสวนต้นไม้ของตัวเอง และอยู่ในวงการต้นไม้มาหลายปี เคยเห็นตั้งแต่มอนสเตอร่า ต้นละ 300-500 บาท แต่ราคานี้อย่าไปเหมารวมว่าเป็นมอนสเตอร่าทั้งหมด เพราะมอนสเตอร่ากว้างมาก ในโลกนี้มีมอนสเตอร่าหลายพันธุ์ คนไทยที่ไปต่างประเทศจะนำไม้จากอเมริกาใต้เข้ามา
ขณะที่สวนใหญ่ในประเทศไทย ที่มีเนื้อที่ประมาณ 300-400 ไร่ จะนำเข้าเมล็ดมอนสเตอร่า ปีหนึ่งประเทศไทยนำเข้าเมล็ดมอนสเตอร่าหลายสิบล้านเมล็ด ของเม็กซิโกจะนำเข้าได้เฉพาะเมล็ด อย่างคนรู้จักของผมคนหนึ่งนำเข้าเมล็ดมอนสเตอร่าจากเม็กซิโกปีละประมาณ 30-40 ล้านบาท
แตกต่างเหมือนกัน "นักสะสมสายพันธุ์ต้นไม้ - นักสะสมพระ"
เจ้าของสวน กล่าวต่อว่า มอนสเตอร่าส่วนใหญ่ที่นักสะสมสายพันธุ์เล่นกันจะเป็น มอนสเตอร่ามินต์ มอนสเตอร่าอัลโบ ไม่ต่างกับการเล่นพระเครื่อง ต่างกันตรงที่ต้นไม้สามารถงอกได้ เมื่อนำไปขายจะได้กำไร ถือเป็นการทำกำไรอย่างหนึ่ง
แต่พอถึงจุดหนึ่งที่ความต้องการของคนทั้งโลกไม่ว่าจะเป็น ยุโรป อเมริกา จีน รัสเซีย เอเชียใต้ รวมไปถึงดูไบ เล่นต้นไม้กันหมด อยากจะถามว่า เราจะสามารถตอบสนองความต้องการของคนทั้งโลกได้หรือไม่ แน่นอนว่า คำตอบคือ ไม่ได้ ซึ่งตอนนี้ เนื้อเยื่อมอนสเตอร่าที่ส่งออกไปดูไบ ราคาขวดละหลักแสน สั่งครั้งละประมาณ 40 ต้น ธุรกิจเนื้อเยื่อบูมมาก ในตอนนี้เราไม่ได้ส่งเป็นต้นแล้ว เราส่งเป็นขวด ซึ่งเรื่องแบบนี้ สวนใหญ่ส่งออกกันเป็นตู้คอนเทนเนอร์
อย่าเรียก "ปั่นราคา" ให้มองว่า เป็น "โอกาส"
ต้นไม้แต่ละต้น กว่าจะงอกงามจนสามารถขยายพันธุ์ขายได้ ล้วนเกิดจากการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของ กว่าจะโตต้องใช้เวลา ยิ่งเป็นต้นไม้พันธุ์หายาก ยิ่งต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูล ลองผิดลองถูกจนกว่าจะเชี่ยวชาญ
ส่วนราคาต้นไม้ที่สูงขึ้นในช่วงนี้ อยากให้มองว่า เป็นโอกาสของชาวสวน เพราะชาวสวนในประเทศไทยได้รับค่าแรงที่ไม่เป็นธรรมมานานแล้ว แต่คนที่ปั่นราคา ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่คนเหล่านี้จะไม่สามารถอยู่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ตัวจริง และอย่างที่บอกไป สวนใหญ่ๆ ในประเทศไทย ขายกันครั้งหนึ่งประมาณ 50 ล้าน
อดทน มุ่งมั่น ตั้งใจจริง ถ้าอยากเข้าวงการต้นไม้
สำหรับคนที่สนใจทำธุรกิจเกี่ยวกับต้นไม้ ต้องเริ่มจากการศึกษาข้อมูลก่อน การจะเข้ามาทำกำไรในระยะเวลาสั้นๆ ไม่มีทางเป็นไปได้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาในการศึกษาเป็นปี สมมติซื้อต้นไม้มาสามใบ ต้นละ 1,500 บาท ตกใบละ 500 บาท พอเลี้ยงแล้วมี 4 ใบ ขายได้ 2,000 บาท
อีกหนึ่งตัวอย่าง หากซื้อต้นไม้มา 1 ต้น แล้วสามารถขยายได้เป็น 10 ต้น ต้นที่ขยายพันธุ์ได้จะเป็นกำไร ดังนั้นการดูแลต้นไม้จึงต้องใช้ความชำนาญ ใช้เวลาในการดูแล หากปลูกแล้วไม่ตาย นั่นคือ "กำไร"
ขณะเดียวกัน หากซื้อต้นไม้มาในราคา 3,000 บาท นำมาวางขายทันที 3,500 บาท จะไม่สามารถทำกำไรระยะยาวได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีบางคนเข้ามาฉกฉวยโอกาสในช่วงเวลาสั้นๆ อ้างว่าซื้อต้นไม้ในราคาเท่านี้ แล้วขายไปในราคาเท่านี้ โดยที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าขายได้จริงหรือไม่ หากเป็นคนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาก็จะไม่ตื่นเต้นกับราคาที่มีการโพสต์ขายกัน
นอกจากนี้ ต้นไม้ซื้อขายกันที่ความสวย ไม่ใช่ซื้อขายกันที่สายพันธุ์ ดังนั้นคนที่เข้ามาในวงการนี้ ต้องศึกษา คำว่า “สวย” ด้วยว่าเป็นอย่างไร รสนิยมความชอบของคนแต่ละชาติก็จะไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นจีน เวียดนาม ฮอลแลนด์
อยู่กับต้นไม้แล้วมีความสุข สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้
เจ้าของสวน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านไม่เคยเห็นใครล่มจม เพราะปลูกต้นไม้ คนอยู่กับต้นไม้จะทำให้มีความสุข นอกจากความสุขยังได้อาชีพ ได้เงิน ได้ทำงานกับสิ่งที่เรารัก อย่างน้อยการปลูกต้นไม้ 1 ต้น ก็เป็นการช่วยสิ่งแวดล้อมแล้ว
การปลูกต้นไม้ นอกจากสร้างอาชีพให้กับตนเองแล้ว ยังสร้างอาชีพให้กับผู้อื่นด้วย คือ จ้างคนมามาช่วยถอนหญ้า ทำงานในสวน ช่วยคนให้มีข้าวกิน ให้เขามีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว และหากมองในภาพรวมต้นไม้ 1 หนึ่ง มีหลายองค์ประกอบ ทุกอย่างมีคุณค่า เช่น
- ต้นไม้ต้องใช้กากมะพร้าวสับ เป็นการสร้างอาชีพให้กับคนปีนมะพร้าว นำพร้าวมาปลอกเปลือกสับขาย
- ต้นไม้ต้องใส่ปุ๋ย ซึ่งคนที่จะทำปุ๋ยขายก็ต้องเรียนมาโดยเฉพาะ ต้องใช้เวลาในการศึกษา
- กระถางต้นไม้ จานรองต้นไม้ สร้างอาชีพให้กับคนทำกระถาง ทำวัสดุเกี่ยวกับต้นไม้
- การขนส่งต้นไม้ ทำให้เกิดการจ้างงานไม่ว่าจะเป็นคนขับรถ ขนแบกของ
ทุกวันนี้ต่างชาติเข้ามาซื้อต้นไม้กับเราเยอะมาก จนเราผลิตไม่พอ ชาวสวนอาจจะไม่ได้ขายไม้แพงมาก แต่ราคาก็ดีกว่าเมื่อก่อน ทุกวันนี้คนเราอยู่กับความสับสน กระแสตื่นตาตื่นใจที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนไม่เข้าใจ อยากให้ลองปรับมุมมอง โฟกัสความสุขในการปลูกต้นไม้ มาเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจ จะได้กำไรหรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความพยายามของแต่ละคน.
ผู้เขียน : J. Mashare
กราฟฟิก : Jutaphun Sooksamphun