การระบาดโควิด-19 ระลอกที่ 3 เริ่มหวนกลับมาเล่นงานในหลายประเทศของชาติตะวันตก ที่มีระดับการติดต่อง่ายกระจายเร็วรุนแรง “ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่” เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ จนต้องประกาศใช้ “มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่” เพื่อควบคุมการกระจายเชื้อให้อยู่ในวงจำกัดโดยเร็ว
อันมีปัจจัยจาก “ไวรัสกลายพันธุ์” ทั้งสายพันธุ์อังกฤษ และสายพันธุ์แอฟริกา ผสมผสานปัจจัย “หย่อนยานมาตรการป้องกัน” ที่เกิดจากคนกลุ่มหนึ่งรับการฉีดวัคซีนแล้วทำให้คนอีกกลุ่มประมาทไม่ป้องกันตัวเอง กลายเป็นชนวนช่วยหนุนส่งเสริมให้ “เชื้อโควิด-19” ระบาดเร็วยิ่งขึ้นนี้
ในส่วน...“ประเทศไทย” ก็เผชิญการระบาดมานาน “ประชาชน” ทนอยู่ภายใต้ข้อจำกัดมีผลต่อคนจำนวนไม่น้อย “การ์ดตก” ไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัวเอง “รัฐบาล” ต้องปรับผ่อนคลายมาตรการครั้งนี้ โดยเฉพาะลดวันกักตัวผู้มาจากต่างประเทศเหลือ 10 วัน และ 7 วัน ยกเว้นพื้นที่เชื้อกลายพันธุ์ต้องกักตัว 14 วัน เช่นเดิม
...
อีกทั้ง “เทศกาลสงกรานต์” ก็ผ่อนปรนให้เดินทางข้ามจังหวัด และจัดกิจกรรมทางประเพณีเสมือนปกติ ภายใต้กรอบการปฏิบัติตนตามมาตรการเคร่งครัดเท่านั้น
ตอกย้ำล่าสุด “พบผู้ติดเชื้อคลัสเตอร์ใหม่” เชื่อมโยงสถานบันเทิงหลายแห่งใน กทม. ที่มีความเสี่ยงแพร่กระจายเป็นกลุ่มก้อนไปยังหลายพื้นที่ทั่วประเทศก็ได้ อันมาจากการผ่อนคลายมากเกินไปกระจายเป็นวงกว้างรวดเร็วในช่วงสงกรานต์นี้ก็ได้ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า
นับแต่หลายประเทศได้รับการกระจายวัคซีนแล้ว “ผู้คน” เริ่มหย่อนยานมาตรการป้องกันอย่างมาก ในช่วงปลายปีที่แล้ว “หลายชาติเปิดประเทศ” อึกทึกครึกโครม ทำให้เชื้อกลับมาระบาดใหม่เป็นวงกว้างรวดเร็วยิ่งขึ้น
และปรากฏว่า “ไวรัสกลายพันธุ์ในยุโรป แอฟริกาใต้ และบราซิล” มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น “ทั่วโลก” ต่างหันมาพร้อมใจใช้มาตรการล็อกดาวน์ดังเดิมอีกครั้ง จนเมื่อต้นปีนี้สถานการณ์คลี่คลายดีขึ้นตามลำดับ
ทำให้ “ผู้คน” กลับเข้าใจผิดคิดว่า “ผู้ติดเชื้อลดลงเกิดจากฉีดวัคซีน” ทั้งที่ความจริงมาจากการล็อกดาวน์นี้ สังเกตจาก “ประเทศในยุโรป” ไม่ได้เฮฮาปาร์ตี้กับวัคซีนด้วยซ้ำ แต่คงมาตรการป้องกันอยู่ตลอด เช่น เยอรมนี อิตาลี เผชิญการระบาดระลอก 3 มีติดเชื้อไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคนต่อวัน ส่วน “ฝรั่งเศส” ประกาศล็อกดาวน์ 1 เดือน
ตอนนี้ “สถานการณ์โควิด-19 ระบาดใหม่ในทั่วโลก” ค่อนข้างกระจายอย่างรวดเร็ว ตามข้อมูลวันที่ 5 เม.ย. มียอดผู้ติดเชื้อสะสมราว 131 ล้านคน และเสียชีวิตราว 2 ล้านคน ในหลายประเทศมีการระบาดระลอก 3 และบางประเทศเข้าสู่ระลอก 4 แล้วด้วยซ้ำ ลักษณะตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นหลักพันคนถึงหลักหมื่นคน
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก ยูเรเชีย มีการติดเชื้อหลักร้อยคนถึงพันกว่าคน ในส่วนจีน สิงคโปร์ และกัมพูชา มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักสิบคน แต่ว่าฮ่องกง เวียดนาม และออสเตรเลีย ติดเชื้อต่ำกว่าสิบคนต่อวัน
เช่นเดียวกับ...“ประเทศไทย” ยังคงมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักสิบถึงหลักร้อยคนต่อวัน และตัวเลขนี้อาจไม่ใช่ภาพรวมแท้จริงก็ได้ เพราะการระบาดระลอก 2 มาตรการที่ออกมาค่อนข้างหย่อนยานมากกว่าระลอกแรกมาก ด้วยเหตุที่ “รัฐบาล” เน้นให้ประชาชนมีโอกาสทำมาหากินกัน ทำให้ไม่ตัดสินใจล็อกดาวน์ประเทศอีกครั้งก็ได้
...
ดังนี้แล้วย่อมมี “ผู้ติดเชื้อ” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแน่นอน เพราะไม่สามารถตัดวงจรการระบาดได้โดยสิ้นเชิง และมีโอกาสนำสู่ระบาดระลอก 3 เพราะธรรมชาติระบาดระลอก 2 มักสูงกว่ารอบแรก 2 เท่า ดังนั้นนับแต่ มี.ค.มานี้ ถ้าผู้ติดเชื้ออยู่หลักสิบคนต่อวัน ทำให้ตัวเลขคงที่ไป 72 วันหรือ 10 สัปดาห์ ก่อนจะระบาดเร็วทวีคูณเข้าสู่ระลอก 3 ตามมา
แล้วสมมติมี “ผู้ติดเชื้อหลักร้อยต่อวัน” ย่อมส่งผลให้ระยะเวลาสั้นลง 7 สัปดาห์ “ผู้ติดเชื้อหลักพันคนต่อวัน” การระบาดระลอกใหม่เร็วใน 1 เดือน ดังนั้น “ประชาชน” ต้องเตรียมรับมือไว้ด้วยก็ดี
แต่ก็มีปัจจัย “ตัวเร่งกระตุ้นระบาดระลอก 3 เร็วขึ้น” แบ่งเป็น 3 เหตุผล คือ เหตุผลแรก...“ตรวจสุ่มเชิงลึกลดลง” ตอนนี้มีการสุ่มตรวจคัดกรองเชิงรุกน้อยลงมาก ในส่วน “เชื้อไวรัสโควิด-19” กลับขยายวงกว้างออกไปทุกวัน ดังนั้น ผลการตรวจเก็บตัวอย่าง “ไม่ติดเชื้อ” ก็สะท้อนสถานการณ์จริงไม่ได้ เพราะมีคนไม่ถูกสุ่มตรวจอีกมาก
...
อาจติดเชื้อนำไปแพร่ระบาดสู่คนอื่นแล้วก็ได้ เหตุนี้ทำให้เชื้อสุกงอมปะทุขึ้นจุดใดก็มักกระจายออกไปยังพื้นที่อื่นได้อยู่เสมอ
เหตุผลที่สอง...“การผ่อนปรนสงกรานต์” ตามกรณี “รัฐบาล” อนุญาตให้ประชาชนทำงานในเมืองเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด ส่วนใหญ่มักใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ แต่ปัจจุบันนี้ในเขต กทม.และปริมณฑลยังมีการติดเชื้อต่อเนื่อง ทำให้การเดินทางด้วยรถสาธารณะย่อมมีความเสี่ยงสูงแพร่กระจายเชื้อกันได้ดี
หนำซ้ำ “การจัดกิจกรรมตามประเพณี และการท่องเที่ยว” มักปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดของ “คนในครอบครัว” ที่เดินทางมาพบปะกันจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสนำเชื้อสู่ “เด็กเล็ก คนสูงอายุ” เรื่องนี้ต้องตระหนักความเสี่ยงด้วยการวางแผนเตรียมป้องกันให้ถูกต้องเคร่งครัด มิเช่นนั้นหลังเทศกาลนี้อาจเกิดระบาดปะทุขึ้นก็ได้
เหตุผลที่สาม...“ลดกักตัวผู้มาจากต่างประเทศ” เริ่มมาตั้งแต่ 1 เม.ย. เรื่องนี้สุ่มเสี่ยงให้เชื้อโควิด-19 หลุดรอดกระจายตามชุมชนต่างจังหวัดทั่วประเทศ ตามข้อมูลกลุ่มผู้เข้าสถานกักตัวของหน่วยงานภาครัฐมีอัตราการติดเชื้อหลัง 14 วัน ราว 5% ถ้าลดเหลือ 10 วัน มีโอกาสราว 20% และ 7 วันจะเป็นราว 25% ด้วยซ้ำ
...
ต้องเข้าใจว่า “วัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลก” ที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพป้องกันได้ 60-70% มีอยู่ไม่กี่ชนิด และอีกหลายชนิดไม่ปรากฏข้อมูลพิสูจน์ตามหลักวิชาการชัดเจน เหตุนี้ “ชาวต่างชาติ” เดินทางเข้ามา “ในไทย” ใช่มีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กลับมีโอกาสนำเชื้อเข้ามาได้เสมอด้วยซ้ำ
สิ่งสำคัญ “การกักตัว” เป็นหัวใจสำคัญ “ด่านปราการของประเทศ” เพื่อสกัดกั้น “ผู้ติดเชื้อ” เข้ามาได้ดีที่สุด เมื่อมีการลดกักตัวเช่นนี้ยืนยัน “ต้องมีผู้ติดเชื้อหลุดรอดเข้ามาในไทยแน่ๆ” โดยเฉพาะ “พื้นที่ท่องเที่ยว” เสมือนด่านหน้าต้อนรับต่างชาติ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงค่อนข้างสูงมาก เช่น โรงแรม สถานบริการเกี่ยวเนื่องการท่องเที่ยว
เหล่านี้ย่อม “หนีไม่พ้นการระบาดระลอก 3” ที่อาจเกิดหลังสงกรานต์ก็ได้ ดังนั้น “เทศกาลหยุดยาว” ไม่จำเป็นอย่าตะลอนท่องเที่ยวอย่างสบายใจ ส่วน “ประชาชน” ประสงค์เดินทางกลับภูมิลำเนาก็ควรใช้ความระมัดระวังในการป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะการดื่มเฉลิมฉลองสังสรรค์ใกล้ชิดกันมีโอกาสติดเชื้อสูงมาก
ประเด็น...“วัคซีนไม่อาจเป็นกุญแจสำคัญของการเปิดประเทศได้” เสมือนเป็น “มายาคติ” ไม่อ้างอิงหลักวิชาการอย่างถูกต้อง กลายเป็นการสร้าง “ความประมาทให้เกิดแก่ประชาชน” ส่งผลต่อ “การลดการ์ดลงไม่ยึดมาตรการป้องกันตัวเอง” อย่างที่เป็นอยู่นี้ ทำให้มีความเสี่ยงโอกาสรับเชื้อโควิด-19 มากยิ่งขึ้นตามมา
ย้ำว่า...“วัคซีนแต่ละชนิดมีข้อจำกัดสรรพคุณต่างกัน” ในบางชนิดไม่มีผลพิสูจน์ทางวิชาการป้องกันการติดเชื้อแน่ชัด แต่มีคุณสมบัติลดเจ็บปวดได้เท่านั้น ฉะนั้น “การฉีดวัคซีน” ที่ยังไม่แน่ใจนี้ “ภาครัฐ” กลับไม่อธิบายให้ประชาชนเข้าใจแท้จริง กลายเป็นหลงผิดคิดว่า “วัคซีนเป็นยาวิเศษ” ปัดเป่าโรคภัยจากตนเองได้ขณะนี้
ทั้งใน “การป้องกันโควิด-19” ต้องแจกจ่ายวัคซีนให้ประชากรครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ตรงกันข้าม “ประชากรได้รับวัคซีนอย่างจำกัดบางส่วน” ย่อมมีโอกาสสัมผัส “เชื้อไวรัส” ส่งผลให้ติดโควิด-19 แบบไม่รู้ตัวเป็นพาหะนำเชื้อสู่คนอื่นได้เสมอ
ทำให้มีโอกาสระบาดซ้ำตามที่คาดการณ์ไว้นี้จะส่งผลให้ “เศรษฐกิจพังพินาศยับเยิน” โดยเฉพาะ “ภาคการท่องเที่ยว” ถูกปั่นกระแสโปรโมตมาตั้งแต่ปีที่แล้ว “ผู้ประกอบการ” ต่างทุ่มลงทุนหมดหน้าตัก ถ้าหาก “ระบาดระลอก 3” ย่อมทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากสุดขีด เพราะโควิด-19 ระบาดรุนแรงสุดในรอบ 102 ปี
คาดว่า “ประเทศไทย” คงมีการระบาดต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ด้วยกลไกมาตรการป้องกันไม่แข็งแรงเพียงพอหลายด้าน โดยเฉพาะ “นโยบาย” มุ่งเน้น “เปิดประเทศ” ทำให้มีความกังวลน่าหนักใจอย่างยิ่ง...
สุดท้ายนี้...“ประชาชน” ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ “ไม่ประมาท” ในการป้องกันตัวเคร่งครัด งดตะลอนท่องเที่ยว สังสรรค์ และกิจกรรมอื่น เพื่อคนที่คุณรักในครอบครัวจะได้มีความปลอดภัย...