ลั่นสนั่นกว่าพฤติกรรม ส.ส.ผู้ทรงเกียรติไทยเสียบบัตรแทนกัน ไม่รู้จะออกหัวออกก้อย...ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ และ พ.ร.บ.ฉบับนี้จะใช้ได้เมื่อใด?

นั่นคือ...การแพร่ระบาด “ไวรัสโคโรนา” ปอดอักเสบ จากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ที่เกิดจากค้างคาวแพร่เชื้อผ่านงูเข้าสู่มนุษย์ มีผู้ติดเชื้อในจีนแล้ว 2,821 กว่าราย สงสัยติดเชื้ออีก 5,700 ราย และเสียชีวิตสังเวยโรค 81 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มกราคม)

อีกทั้งยังแพร่ระบาดไปไกลถึง...ยุโรป อเมริกา ลามถึงไทยพบผู้ติดเชื้อ 8 รายเท่ากับมาเก๊า ไม่เว้นญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย เนปาล

ทำเอาหน้าจอสื่อออนไลน์ร้อนเป็นไฟ ให้เหล่าสาวกพากันกระหน่ำความคิดเห็นใส่คนเป็นเสนาบดีสาธารณสุข ต้องโพสต์ตอบโต้แกมหงุดหงิด

ขณะชาวพาราต้องผจญฝุ่นจิ๋ว พีเอ็ม 2.5 ทั่วประเทศ...ดวงเมืองปีนี้ช่างเฮี้ยนเสียนี่จริงๆ

อันที่จริง...ไวรัสอู่ฮั่นหาใช่วิกฤติที่เพิ่งเกิดกับโลกและเมืองไทย หากยังพอจำกันได้ระเบิดลูกแรกคือ “โรคซาร์ส” สร้างผลต่อระบบทางเดินหายใจอันตรายถึงชีวิต เมื่อปี พ.ศ.2545

แล้วยังกระทบถึงภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าอย่างจัง...แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยต้นทางเกิดในจีน แล้วกระจายไปทั่วโลกและไทย โมเมนต์นี้เหมือนโลกหยุดหมุนไปพักหนึ่ง ฉุดภาคท่องเที่ยวที่กำลังขายดิบขายดีขณะนั้นไปด้วย

เรื่องนี้...อดีตผู้บริหารระดับสูงด้านตลาดท่องเที่ยวรายหนึ่งบอก... โชคดีที่ตอนนั้นทางการไทยรู้จักบูรณาการรับมือบริหารความเสี่ยงงานร่วมกัน รวดเร็วและมีเอกภาพ

ทั้งสาธารณสุข ตรวจคนเข้าเมือง คัดกรองหาผู้ติดเชื้อที่มากับเที่ยวบินต่างๆ มีพนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คอยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย

...

“ททท.ซึ่งรับผิดชอบงานด้านตลาดท่องเที่ยว จึงรีบออกมาตรการเร่งด่วนชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกตลาด ผ่านสำนักงานสาขาในต่างประเทศทั่วโลก ให้รู้ว่า...ไทยมีการระวังป้องกันโรคร้ายดังกล่าว ตั้งแต่ประตูเครื่องบิน ทันทีที่ผู้โดยสารมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ”

อดีตผู้บริหารรายนี้ย้ำว่า นอกจากนี้เรายังชี้แจงให้ทราบด้วยว่า แม้จะเกิดกระแสแต่แหล่งท่องเที่ยวทุกแห่งปลอดการระบาด สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวล

ขณะเดียวกันเชิญสื่อฯจากตลาดหลักมาทดสอบสินค้าในไทย เพื่อกลับไปเผยแพร่ เชิญผู้ประกอบการมาดูภาพจริง ก่อนกลับไปวางแผนขายท่องเที่ยว

ที่สำคัญยังมีการประสานไปยัง “ภาคเอกชนท่องเที่ยวไทย” เร่งสร้างแรงจูงใจในการขายธุรกิจบริการ ด้วยราคาที่ต่ำกว่าปกติ หรือช่วยเพิ่มมูลค่า เช่น ขายห้องพักแถมนวดสมุนไพรฟรี

ตลาดไทยส่งเสริมการขาย ธุรกิจการบิน บ.นำเที่ยว รถเช่า เรือนำเที่ยว โรงแรมซื้อห้องพัก 2 ห้องแถม 1 พัก 2 คืนแถมฟรี 1 คืน... ต้องยอมรับว่ามาตรการนี้ได้ผลยามวิกฤติหน้าสิ่วหน้าขวาน

แล้วก็มาถึงระเบิดลูกที่สอง “ไข้หวัดนก” เมื่อปี พ.ศ.2547 ที่วิกฤติไม่ต่างจากลูกแรก โดยจีนคือเจ้าภาพสร้างวิกฤติโลกอีกครั้ง ส่งผลถึงเรื่อง “ท่องเที่ยว” ขาดสภาพคล่องระลอกสอง

และเป็นครั้งแรกที่คนไทยขยาดไม่กล้าเที่ยวเมืองนอก แล้วหันมาเที่ยวในประเทศอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน...เล่นเอาทะเลอันดามันฝั่งภูเก็ต พังงา กระบี่ แทบพังกับคลื่นมนุษย์

นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เช่นกัน พากันสงวนท่าทีมาเที่ยวบ้านเรา แต่พอมีการงัดมาตรการเดียวกับโรคซาร์สมากู้สถานการณ์ ท่องเที่ยวไทยถึงกลับมาราบรื่นเหมือนตื่นจากฝันร้าย

แล้วก็มาถึงวิกฤติล่าสุด...เป็นระเบิดลูกที่สามจากจีนเจ้าเก่า ที่แสนยานุภาพเหนือพลังสองครั้งที่ผ่านมา เห็นได้จากเมืองอู่ฮั่นห่างปักกิ่ง 1,035 กม. มีประชากร 11 ล้านคน

ต้อง “ชัตดาวน์” ห้ามคนเดินทางเข้าออกป้องกันการแพร่เชื้อ...

ร้านรวงสถานประกอบการทุกแห่งถูกปิดตาย ถนนไร้ผู้คนและยวดยานสัญจร ตกเป็น “เมืองผี” ยิ่งกว่าออร์โดส เขตปกครองพิเศษมองโกเลียใน ที่ถูกพิษเศรษฐกิจเล่นงานจนย่ำแย่

เมืองซึ่งมีลักษณะสุ่มเสี่ยงระบาดอีก 13 แห่ง ก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากอู่ฮั่นเช่นกัน

...

ไม่พ้น สี จิ้นผิง ประธานาธิบดี ผู้นำสูงสุดพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้ไม่ยอมเป็นอิเหนาเมาหมัด ต้องประกาศให้จีนทั้งประเทศงดการจัดงานเทศกาลตรุษจีนประเพณีสำคัญของชาวจีน

เพื่อตัดช่องทางการแพร่เชื้อ เพราะไวรัสตัวนี้ฉกาจ สามารถติดต่อได้จากคนสู่คนทางลมหายใจ...และยังไม่มีวัคซีนกับยาชนิดใดรักษาโรคนี้ได้ซะอีกด้วย

สี จิ้นผิง ยังใช้มาตรการแจ้งเตือนรุนแรงระดับ 3 ขั้นสุดท้าย ให้คนจีนหลีกเลี่ยงการเดินทาง และให้ธุรกิจการบิน ขนส่ง บ.นำเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศงดขายบริการทันที

...เป็นความรับผิดชอบต่อการแพร่ระบาดสู่ชาวโลก ที่คนจีนยากจะฝ่าฝืนคำสั่งเฉียบขาดนี้!

งานนี้ร้อนผ่าวกับธุรกิจท่องเที่ยวไทยทุกประเภท ที่หากินกับทัวร์จีน 11 ล้านคนต่อปี

จอมทัพท่องเที่ยวไทยยุคปัจจุบัน ผู้ว่าการ ททท. ที่เพิ่งแก้ต่างให้เจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ เรื่องจะเอากระเป๋าเงินรัฐฯแจกต่างชาติมาชิม ช้อป ใช้ เวอร์ชันอินเตอร์ แหม็บๆ

รีบออกมาบอก...ไวรัสโคโรนาพ่นพิษท่องเที่ยวไทยทันที ที่สี จิ้นผิง ลงดาบห้ามเอเย่นต์ทัวร์ขายคนจีนเที่ยวอย่างน้อย 1 ไตรมาส...ช่วง 3 เดือนต้นปีนี้

นั่นหมายถึงว่า “ทัวร์จีน” จะหายจากไทยแน่นอน 1.89 ล้านคน กระเป๋ารายได้จะแฟบลงไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากแผนรวมปี 2563 ตั้งเป้าไว้ 40.78 ล้านคน ทำรายได้ 2.03 ล้านล้านบาท

เอาแค่จิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆที่ “เมืองพัทยา” มีหลายเสียงเริ่มตั้งคำถามดังขึ้นเรื่อยๆว่า “ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวจีน พัทยาจะทำอย่างไรกันต่อไปดี”

สี จิ้นผิง จะพ่นพิษก็พ่นไป แต่ ททท.ยุคนี้พ่นจะปรับแผนเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 41.8 ล้านคน...ฮั่นแน่! “เพิ่มจากเป้าเดิม 1.02 ล้านคน โดยไม่สนยอดที่สี จิ้นผิง ทำหล่นหายไป”

...

แถมยังคุยเพิ่มอีกว่า...จะดันรายได้ขึ้นมาที่ 2.22 ล้านบาท แบบเมิน 5 หมื่นล้านบาทที่หาย เพราะจะได้เม็ดเงินเพิ่ม 200,000 ล้านบาท

...ก็ไม่รู้จะฉวยโอกาสฉลองครบรอบ “60 ปีท่องเที่ยวไทย” หรืออย่างไรไม่รู้ได้?

โมเมนต์นี้...ข่าวไม่ได้ระบุว่า จะใช้กลยุทธ์เหนือฟ้าท้าเมฆแบบไหน ในราคาที่คุย?...เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.