กนง.มีมติเอกฉันท์ 7–0 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 เพราะเห็นว่า แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้การส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปีหน้า แม้จะมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ และต่ำกว่าประมาณการเดิม แต่ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ภาคการเงินมีเสถียรภาพ สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง
แปลไทยเป็นไทยก็คือ เศรษฐกิจโลกปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้นด้วย เพียงแต่ ดีต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะ ทีมเศรษฐกิจ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ทำงานแบบเดินกันคนละขา
เมื่อดอกเบี้ยนโยบายไม่ขยับ ตลาดหุ้นไทยก็กระดี๊กระด๊าบวกกลับขึ้นไปสิบกว่าจุด หลังจากที่ตกใจ ธนาคารกรุงเทพ ไปซื้อ ธนาคารพีที เพอร์มาตา ทีบีเค ในอินโดนีเซีย เพื่อขยายอาณาจักรธุรกิจธนาคารในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียนกว่า 1.11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 33.85 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าเศรษฐกิจไทยถึง 2 เท่า มีประชากรกว่า 271 ล้านคน มากกว่าไทยถึง 3.87 เท่า ด้วยวงเงินจิ๊บๆ เพียง 81,000 ล้านบาท น้อยกว่าความมั่งคั่งของคุณสารัชถ์ รัตนวะดี ซีอีโอ GULF มหาเศรษฐีหุ้นไทยของวารสาร “การเงินธนาคาร” ที่มีความมั่งคั่งกว่า 120,000 ล้านบาท จากการถือหุ้นกัลฟ์เพียงตัวเดียวในสัดส่วน 35.44% เสียอีก
จุดแข็งของธนาคารกรุงเทพ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 62 มีเงินกองทุนตามกฎหมายสูงสุด 477,541 ล้านบาท มีเงินฝากอันดับ 1 กว่า 2.3 ล้านล้านบาท มีสินทรัพย์อันดับ 1 กว่า 3 ล้านล้านบาท ดังนี้ คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์กรุงเทพ จะควักเงินกองทุนเพียง 81,000 ล้านบาท ไปซื้อ แบงก์ใหญ่อันดับ 12 ในอินโดนีเซีย ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน แต่ มีจีดีพีต่อหัวเพียง 4,120 ดอลลาร์ น้อยกว่าคนไทยที่ มีจีดีพีต่อหัว 7,607 ดอลลาร์ เกือบเท่าตัว ผมจึงเห็นเป็นเรื่องดีมากกว่าน่าตกใจ
...
ลองคิดบัญญัติไตรยางค์ง่ายๆ ถ้ารายได้ต่อหัวต่อปีของคนอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเป็น 7,600 ดอลลาร์เท่าคนไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เศรษฐกิจอินโดนีเซียจะต้องใหญ่กว่าปัจจุบันถึง 2 เท่า หรือสองเท่ากว่า ประชากรอินโดนีเซียอาจเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านคน จาก 271 ล้านคนในวันนี้ ธนาคารเพอร์มาตา ของอินโดนีเซีย ที่ ธนาคารกรุงเทพ ไปซื้อในราคา 81,000 ล้านบาทวันนี้ จะขยายตัวเติบโตขนาดไหน
ผมจึงไม่แปลกใจที่เห็นโบรกเกอร์เริ่มออกมาแนะนำให้ “ซื้อ” หุ้นธนาคารกรุงเทพ โดย เคาะราคาเป้าหมาย 184–235 บาทต่อหุ้น หลังจากที่ถูก “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นอาศัยข่าวที่เบี่ยงเบน “ช็อตเซล” หุ้นธนาคารกรุงเทพลงมาอย่างหนัก แล้วรีบซื้อคืนในราคาช็อต เพราะเห็นโบรกเกอร์ส่วนใหญ่เริ่มออกมาแนะนำให้ซื้อ
กลับมาที่ แบงก์เพอร์มาตา กันต่อครับ แบงก์เพอร์มาตา เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มีสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่ 42% เอสเอ็มอี 26% สินเชื่อรายย่อย 36% ที่สำคัญก็คือ โมบายแอปใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ดีกว่าโมบายแอปในเมืองไทยเสียอีก อินโดนีเซียเป็นประเทศเกาะมีเกาะกว่า 17,000 เกาะ การใช้โมบายแอปจึงเป็นเรื่องสำคัญในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซีย ยังมีนโยบาย ลดจำนวนธนาคารในประเทศที่มีกว่า 100 ธนาคารลง ซึ่งจะช่วยให้ ธนาคารกรุงเทพ มีโอกาสขยายธุรกิจการเงินในอินโดนีเซียในอนาคตได้อีกมาก ถือเป็นวิสัยทัศน์เพื่ออนาคต ที่น่าสนใจยิ่ง
แบงก์เพอร์มาตา ปัจจุบันมีลูกค้ารายใหญ่จากเมืองไทยคือ กลุ่มซีพี กลุ่มปูนใหญ่ รวมทั้ง กลุ่ม Astra international ผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ โตโยต้าอินโดนีเซีย
จากข้อมูลที่เปิดเผยออกมา ไม่ว่ามองมุมไหนก็ยังไม่เห็นว่า ธนาคารกรุงเทพจะเสียประโยชน์ มีแต่ได้ประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ การซื้อแบงก์เพอร์มาตา ครั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพ ยังต้อง ขออนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นในต้นปีหน้า รวมทั้งการขออนุญาตจาก แบงก์ชาติไทย และ แบงก์ชาติอินโดนีเซีย ถ้าไฟเขียวผ่านตลอดทุกจุด กว่าดีลนี้จะจบก็ปลายปี 2563 โน่น ใครจะซื้อหุ้นกลับตอนนี้ก็ยังทันนะครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”