ศาลไม่เห็นด้วย-แค่ประมาท คดีเมาขับชน 2 ศพพตท.-เมีย ญาติรับดูแลน้องแพรววัย 12

ศาลไม่เห็นด้วย กรณีเมาขับรถชนมีคนตาย โดนข้อหาเจตนาฆ่า พนักงานสอบสวน สน.ศาลาแดง ฝากขังแจ้งข้อหาแล้ว แต่ศาลจังหวัดตลิ่งชันสั่งให้กลับไปพิจารณาใหม่ สรุปแจ้งข้อหาแบบเดิมๆ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์มูลค่า 2 แสนบาท พี่ชายเสี่ยเบนซ์ยันครอบครัวเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมรับผิดชอบค่าเสียหายทุกอย่าง อยากรับลูกเหยื่อเป็นหลาน ขณะนี้ย้ายน้องแพรวไป รพ.กรุงเทพแล้ว อาการยังหนัก ซี่โครงหัก 2 ซี่ ดั้งจมูกยุบ แต่ไม่ต้องผ่าตัดสมอง ด้านน้องพลอยลูกสาวคนโตที่เรียนอยู่สหรัฐฯ รู้ข่าว ร้องไห้ตลอดเวลา รีบหาตั๋วกลับเมืองไทย

กรณีนายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 57 ปี เจ้าของบริษัทไทยคาร์บอนแอนด์กราไฟต์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถยนต์เมาซิ่งรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ อี250 สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ษฮ 789 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนรถยนต์ซูซูกิ สวิฟท์ สีขาว ทะเบียน 2 กก 3653 กรุงเทพมหานคร บนสะพานคลองตาปุ้น ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวงและเขตทวีวัฒนา กทม.จนพังยับเยิน วัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดได้ถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เป็นเหตุให้ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล อายุ 48 ปี รอง ผกก.(สอบสวน) กก.2 บก.ป.และนางนุชนาฎ งามสุวิชชากุล อายุ 44 ปี ภรรยาเสียชีวิต ส่วน ด.ญ.พิชญาภา งามสุวิชชากุล หรือน้องแพรว อายุ 12 ปีลูกสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.เดินทางไปสอบสวนผู้ต้องหาด้วยเอง ยันแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามนโยบายรัฐบาลที่เสนอข่าวไปแล้ว

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 13 เม.ย. ร.ต.อ.พิทักษ์ พูลพุทธา รอง สว.(สอบสวน) สน.ศาลาแดง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนคุมตัวนายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 57 ปี เจ้าของบริษัทไทยคาร์บอนแอนด์กราไฟต์ จำกัด ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ตามข้อหาหนัก 5 ฐานความผิดคือ 1.ฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา 2.พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 3.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 4.ขับรถในขณะมึนเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และ 5.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

...

ทั้งนี้ นายสมชายถูกนำตัวขึ้นรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ทะเบียนป้ายแดง ผ 1231 กรุงเทพมหานคร มาจอดบริเวณใต้ถุนศาล เนื่องจากนายสมชายมีอาการระบมหลังเกิดอุบัติเหตุปวดขาทั้ง 2 ข้าง ขอให้พนักงานสอบสวนพาตัวไปพบแพทย์ตามสิทธิผู้ต้องหา เมื่อเดินทางไปพบแพทย์แล้วจึงเดินทางมาศาลตามนัด มีกำลังฝ่ายสืบสวนนั่งคุมตัวมาด้วยตลอดเวลา นายสมชายเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดที่สวมวันเกิดเหตุ เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำ และใส่รองเท้าหนังสีดำ เดินกระเผลกลงจากรถท่าทางทุลักทุเลก่อนเข้าไปในเขตศาล

ขณะที่นายรัตนชัย เวโรจน์พิพัฒน์ พี่ชายของนายสมชายเดินทางมาเตรียมยื่นขอประกันตัวน้องชาย ชี้แจงผู้สื่อข่าวว่า ต้องขอโทษสังคมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครอบครัวพวกเรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอยอมรับผิดชอบทุกอย่าง ตั้งแต่หลังเกิดเหตุเราเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวผู้ตายทันทีหลังทราบข่าว พยายามหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดที่เกี่ยวกับการรักษาอาการทางสมอง ก่อนจะนำตัวน้องไปรักษาต่อที่ รพ.กรุงเทพ ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงหลายล้านบาท แต่ขณะนี้ทราบว่าอาการน้องดีขึ้นไม่ต้องผ่าตัดสมองแล้ว ตนและครอบครัวยอมรับทุกอย่าง ทราบว่ารอง ผกก.ผู้เสียชีวิตเป็นเสาหลักของครอบครัว เราจะรับผิดชอบดูแลเรื่องการศึกษาของน้องๆที่เป็นบุตรสาวทั้ง 2 คนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตั้งใจว่าจะรับน้องทั้ง 2 คนให้มาเป็นหลานของตน หวังว่าศาลจะเมตตาและมาคุยกันว่าจะทำอย่างไร

หลังรับคำร้องฝากขังนายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-24 เม.ย. ศาลพิจารณาให้พนักงานสอบสวนทบทวนข้อหาเจตนาฆ่ามาใหม่ พนักงานสอบสวนจึงคุมตัวนายสมชายกลับไปสอบปากคำใหม่ที่โรงพักแล้วกลับฝากขังอีกครั้ง ระบุว่านายสมชายถูกกล่าวหาว่า กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและอันตรายสาหัส นอกนั้นเหมือนเดิม เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำพยานอีก 4 ปาก รอผลชันสูตรพลิกศพ บาดแผล พร้อมกับรอผลการตรวจสอบประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาประกอบคดี

คำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย.เวลาประมาณ 23.30 น. พนักงานสอบสวน สน.ศาลาแดง รับแจ้งว่า มีเหตุรถยนต์ชนกันที่ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง-เขตทวีวัฒนา ตรวจที่เกิดเหตุพบรถเบนซ์ ทะเบียน บฮ 789 กรุงเทพมหานคร แต่ไม่พบตัวคนขับเนื่องจากเจ้าหน้าที่มูลนิธินำส่งโรงพยาบาลธนบุรี 2 เพราะได้รับบาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล รอง ผกก. (สอบสวน) กก.2 บก.ป. เสียชีวิตอยู่ในรถยนต์ซูซูกิ สวิฟท์ ทะเบียน 2 กก 3653 กรุงเทพมหานคร ทราบจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิว่า ยังมีนางนงนาฎ งามสุวิชชากุล ภรรยา และ ด.ญ.พิชญาภา บุตรสาวได้รับบาดเจ็บด้วย นำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว แต่ต่อมานางนงนาฎเสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์

การสอบสวนพยานแวดล้อมทราบว่า นายสมชายผู้ต้องหาขับรถเบนซ์วิ่งมาจากถนนพุทธมณฑลสาย 3 จะไปถนนพุทธมณฑลสาย 2 เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก ขับรถล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของ พ.ต.ท.จตุพรที่วิ่งมาจากถนนพุทธมณฑลสาย 2 มุ่งหน้าไปถนนพุทธมณฑลสาย 3 จึงพุ่งชนกันอย่างแรง เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้ง 2 คันเสียหาย พ.ต.ท.จตุพรเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จากการสอบสวนทราบว่า เมื่อวันที่ 11 เม.ย. นายสมชายผู้ต้องหาดื่มเบียร์มาจากสนามไดรฟ์กอล์ฟ แขวง-เขตทวีวัฒนา กระทั่งเวลาประมาณ 23.30 น.ขับรถเบนซ์คันเกิดเหตุออกมาตามถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษกจนมาชนกับรถผู้ตาย เมื่อตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์พบสูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แจ้งข้อหากระทำผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส ทรัพย์สินเสียหาย เมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย บาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 300 และความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 มาตรา 43 (2) (4) ประกอบกฎกระทรวงมาตรา 160 ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขัง

...

ทั้งนี้ ภายหลังการยื่นคำร้องฝากขังแล้ว ญาตินายสมชายผู้ต้องหายื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินมูลค่า 500,000 บาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวนายสมชาย ปรากฏว่าศาลอนุญาตให้ประกันตัว ตีราคาหลักทรัพย์มูลค่า 200,000 บาท ต่อมาเจ้าตัวรีบวิ่งขึ้นรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ป้ายแดงคันเดิมหลบผู้สื่อข่าวกลับออกไปอย่างรวดเร็ว สอบถามนายวีรวุฒิ บำรุงใจ ทนายความ กล่าวเพียงสั้นๆว่า ญาตินำหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินราคาประมาณ 500,000 บาท มายื่นประกันตัว ข้อหาที่พนักงานสอบสวนแจ้ง ไม่มีฐานความผิดฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา และข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

ที่แผนกนิติเวช รพ.ศิริราช ช่วงเช้าวันเดียวกัน น.ส.ขนิษฐา เลิศวรจักรพงษ์ อายุ 45 ปี นำเอกสารมายื่นติดต่อขอรับศพ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล รอง ผกก. (สอบสวน) กก.2บก.ป.และนางนุชนาฎ งามสุวิชชากุล อายุ 44 ปี ภรรยา ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเป็นพี่สาวของนางนุชนาฎ วันนี้มายื่นเอกสารเอาไว้ก่อน แต่จะนำศพออกวันที่ 17 เม.ย. เนื่องจากติดปัญหาทางวัด อยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะนำศพไปไว้ที่วัดตรีทศเทพ ศาลา 5/1 กำหนดสวดอภิธรรมศพคืนวันที่ 17 -19 เม.ย. และฌาปนกิจวันที่ 20 เม.ย.

“ส่วนตัวยอมรับว่า ยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากผู้ตายทั้งคู่เป็นเสาหลักของครอบครัว มีภาระต้องส่งเสียลูกๆทั้ง 2 คน ตอนนี้ น.ส.ศุภาพิชญ์ งามสุวิชชากุล หรือน้องพลอย อายุ 16 ปี ลูกสาวคนโตที่อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาทราบเรื่องแล้ว เสียใจมาก ร้องไห้ไม่หยุด กำลังรอตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย ส่วน ด.ญ.พิชญาภา งามสุวิชชากุล หรือน้องแพรว อายุ 12 ปี ลูกสาวคนเล็ก อยู่ระหว่างรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ อาการเบื้องต้นซี่โครงซี่ที่หนึ่งกระทบกระเทือนหักทั้งสองข้าง ใบหน้าช่วงบริเวณดั้งจมูกยุบยังไม่รู้สึกตัวแพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนคู่กรณี ญาติเข้ามาขอโทษระหว่างสอบปากคำที่ สน.ศาลาแดง ภรรยาคู่กรณีช่วยประสานติดต่อโรงพยาบาลและไปเยี่ยมน้องแพรว พูดว่าจะช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาให้ถึงที่สุด ส่วนนายสมชายคู่กรณียังไม่ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัว มีแต่ญาติเข้ามาแสดงความเสียใจและขอโทษแทน” น.ส.ขนิษฐากล่าว

...

ด้านนางรัชฐิรัชฎ์ ซุ่นสั้น ภรรยาดาบตำรวจเหยื่อเมาแล้วขับชนเสียชีวิต 5 ศพ เมื่อปี 2560 ที่ จ.ตรัง เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เข้าใจความรู้สึกครอบครัวญาติพี่น้องผู้สูญเสีย เพราะเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว กรณีนี้น้องที่อาการโคม่าต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ ทราบว่ายังมีพี่น้องอีกคนที่เรียนอยู่ต่างประเทศ คงกระทบสภาพจิตใจอย่างรุนแรง ควรมีนักจิตวิทยาเข้าไปช่วยดูแลเยียวยาทั้งตัวน้องและคนรอบข้าง ขอภาวนาให้น้องหายโดยเร็ว กลับมามีพลังใจใช้ชีวิต ส่วนตัวเชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงดูแลอย่างเต็มที่เช่นเดียวกับกรณีของตน ส่วนผู้ก่อเหตุประชาชนทั้งประเทศกำลังจับตา อยากเห็นการลงโทษเป็นเจตนาทำให้เสียชีวิตไม่ใช่แค่ประมาท เพราะที่ผ่านมามีแค่ประมาท ปัญหาเมาแล้วขับจึงไม่ลด กรณีสามีตนถูกคนเมาแล้วขับชนเสียชีวิต 5 ศพ บาดเจ็บอีกหลายราย ผู้ก่อเหตุติดคุกเพียง 4 ปี ส่วนการฟ้องแพ่งกับคนขับผู้ก่อเหตุและนายจ้างเจ้าของรถ ศาลแพ่งพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว แต่จำเลยอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ต้องสู้กันต่อไปเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้อง

“เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากทำให้ใครตาย แต่สามัญสำนึกของคนเมาแล้วขับ ต้องรู้ว่ากำลังตั้งใจฆ่าหรือทำให้คนอื่นบาดเจ็บเสียหาย การกระทำมันบอกชัดเจน เราต้องใช้ยาแรงกันอย่างจริงจัง เพราะมาตรการเดิมแค่ประมาท มันรับมือกับปัญหาเมาไม่ขับไม่ไหว ถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ความผิดฐานเมาแล้วขับคงไม่เพิ่มมากขนาดนี้ ทุกชีวิตมีค่าอย่ารอให้สูญเสียขึ้นมาแล้วเสียดายทีหลัง ต้องขอบคุณรัฐบาลที่มีนโยบายนี้ออกมาเพราะแม้มีกฎหมายอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีความชัดเจนทางนโยบาย กฎหมายก็เป็นเพียงเสือกระดาษ แต่ครั้งนี้คงได้เห็นไม่ว่ายากดีมีจน หรือร่ำรวย คนผิดเมาแล้วขับต้องโดนลงโทษฐานเจตนาทำให้เสียชีวิต มิใช่ประมาท” นางรัชฐิรัชฎ์กล่าว

...

ส่วนนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย ต้องติดตามว่าผลสิ้นสุดของคดีนี้เป็นอย่างไร นโยบายรัฐบาลจัดการกับปัญหาเมาแล้วขับด้วยการให้เป็นเจตนาเล็งเห็นผล หรือเจตนาทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตไม่ใช่แค่ประมาท จะมีผลนำไปสู่การลงโทษอย่างไร หากกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำคือ พนักงานสอบสวนไปจนถึงอัยการและศาลเห็นไปในทางเดียวกัน จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อปัญหาเมาแล้วขับ จากการติดตามข้อมูลของตำรวจพบว่าผู้ก่อเหตุไปดื่มมาจากสนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง หมายความว่าสถานที่แห่งนี้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอาการมึนเมาครองสติไม่ได้ ใช่หรือไม่ เพราะจะเป็นความผิดตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ไม่อยากให้พนักงานสอบสวนละเลยจุดนี้ ควรพิสูจน์ไปให้ถึงเพื่อทำให้บรรดาผู้ประกอบการที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความรับผิดรับชอบสินค้าของตัวเองด้วย จะเป็นการยกระดับในภาพรวมของปัญหา มิใช่ให้ผู้ดื่มรับผิดเพียงฝ่ายเดียว เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งญี่ปุ่นหรืออเมริกา

“นี่ไม่ใช่การออกกฎหมายใหม่ แต่เป็นการนำกฎหมายที่มีอยู่เดิมมาบังคับใช้ในระดับเข้มข้น เชื่อว่ายังมีอีกหลายกรณีที่เกิดขึ้นช่วงเทศกาลสงกรานต์ อยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายไปในทิศทางนี้ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ละเลย พยายามทำสำนวนให้อ่อน ช่วยเหลือวิ่งเต้น ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต้องโดน 157 ด้วย” นายชูวิทย์กล่าว