ที่ ‘แม่กลอง’ น้อยสุด เนคเทคให้ผลสํารวจ
“เนคเทค” เปิด “บิ๊กดาต้า” คนจนประเทศไทย รวบรวม ข้อมูลทุกด้าน พบคนจน 1.03 ล้านคน สุดอึ้ง “เชียงใหม่” คนจนเยอะสุด ขณะที่ “สมุทรสงคราม” มีคนจนน้อยสุด โดยตำบลบางนางลี่ จนแค่ 16 คน เตรียมเพิ่มดัชนีความสุขประกอบในอนาคต หลังพบหลายพื้นที่แม้จะจนแต่จนแบบมีความสุข
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดข้อมูล “บิ๊กดาต้า” สำรวจปริมาณคนจนแบบครบวงจร ครั้งแรกของประเทศไทย นายศรัณย์ สัมฤทธ์เดชขจร ผอ.เนคเทค เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า ปัจจุบันประเทศ ไทยใช้เส้นความยากจนที่เป็นทางการคือ ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 2,667 บาทต่อคน/เดือน หากมองย้อนไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าปัญหาความยากจนในภาพรวมของไทยลดลงอย่างมาก จำนวนคนจนลดลงประมาณ 28 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว จากจำนวนคนจน 34.1 ล้านคน ในปี 2531 เหลือเพียง 5.8 ล้านคน ในปี 2559 สัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 65.2 เป็นเพียงร้อยละ 8.6 ในปี 2559 ทั้งนี้ การประเมินสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย สะท้อนถึงสถานการณ์ที่แท้จริงได้ จำเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดจากหลายด้านมาประกอบกัน นอกจากคิดจากรูปแบบตัวเงินแล้วยังพิจารณาในมิติอื่นๆด้วย
ผอ.เนคเทคกล่าวต่อว่า จึงเป็นที่มาให้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ มีมติเห็นชอบการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อศึกษาการพัฒนาระบบ “บิ๊กดาต้า” ของภาครัฐและมอบให้ ศสช.ร่วมกับเนคเทค พัฒนาระบบ TPMAP ซึ่งเป็นระบบบิ๊กดาต้าของภาครัฐ ในประเด็นการแก้ปัญหาความยากจนที่สามารถระบุความยากจนในระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่น ท้องที่ หรือปัญหาความยากจนรายประเด็น ทำให้เกิดการแก้ปัญหาความยากจนได้ตรงจุดมากขึ้น เนคเทคพร้อมทีมนักวิจัยลงพื้นที่จริงสำรวจข้อมูลสัมภาษณ์ ใช้ข้อมูลการสำรวจความจำเป็นพื้นฐาน กรมพัฒนาชุมชน ที่พบว่ามีคนจนทั่วประเทศ 36,647,817 คน และจากการลงทะเบียนคนจน กระทรวงการคลัง 11 ล้านคน นำทั้งหมดมาหาค่าผู้ที่ยากจน จากการวัดผลใน 5 มิติ คือ รายได้ การศึกษา สุขภาพ ความเป็นอยู่และการเข้าถึงบริการทางภาครัฐ พบว่า มีคนจนใน 5 มิติ ทั่วประเทศ 1,032,987 คน ลดลงจากปี 2560 ที่พบ 1.3 ล้านคน ข้อมูลดังกล่าวนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการ การแก้ปัญหาตามความเหมาะสมแล้ว
...
นายสุทธิพงศ์ ธัชยพงษ์ นักวิจัยการวิเคราะห์ข้อมูลและการคำนวณเนคเทค กล่าวว่า ในการสำรวจข้อมูลพบว่าจังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดคือ เชียงใหม่ มี 54,887 คน โดย อ.อมก๋อย มีจำนวนคนจนมากที่สุดคือ 4,441 คน ขณะที่จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดคือแม่ฮ่องสอน 22,783 คน โดย อ.ปางมะผ้า มีคนจน 3,040 คน และพื้นที่ที่มีคนจนมากที่สุดคือ ต.นาปู่ป้อม มี 933 คน จังหวัดที่มีคนจนน้อยที่สุด คือ สมุทรสงคราม มี 903 คน โดย ต.บางนางลี่ อ.อัมพวา มีคนจน 16 คน สำหรับจังหวัดที่มีสัดส่วนของคนจนน้อยที่สุด คือหนองบัวลำภู มีคนจน 1,277 คน ทั้งนี้ สัดส่วนจะเทียบจากจำนวนประชากรในจังหวัดนั้นๆ แต่ถ้าเป็นจำนวนคนจนคือเฉลี่ยจากประชากรในจังหวัดนั้น
“หากแยกละเอียดลงไปตามมิติต่างๆ พบว่า มิติทางด้านสุขภาพ มีคนจน 217,080 คน มิติความเป็นอยู่มีคนจน 244,739 คน มิติการศึกษามีคนจน 378,080 คน มิติรายได้คือรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 2,067 บาท 376,091 คน ในมิติเข้าถึงบริการของรัฐมีคนจน 6,490 คน ทั้งนี้ สัดส่วนของคนจนมาจากเอาจำนวนคนจนทั้งหมดหารปริมาณประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เรื่องความยากจนกับเรื่องความสุขของประชาชนในบางพื้นที่ อาจจะไม่สอดคล้องกัน เช่น ที่แม่ฮ่องสอน พบว่าบางมิติไม่ค่อยดีนัก เช่น เรื่องการเข้าถึงการศึกษา และรายได้ต่ำมาก แต่กลับพบว่าคนเหล่านี้มีความสุข ทั้งนี้ในอนาคตจะเพิ่มข้อมูลเรื่องดัชนีความสุข เข้าเป็นตัวชี้วัดเพิ่มเข้าไปด้วย” นายสุทธิพงศ์กล่าว
นายสุทธิพงศ์กล่าวอีกว่า สำหรับการพิจารณาความยากจนในมิติต่างๆนั้นนักวิจัยจะพิจารณาจากข้อมูลทั้งของกระทรวงการคลังและกรมพัฒนาชุมชน รวมกับการเข้าไปสัมภาษณ์รายบุคคลของเนคเทค เช่น มิติด้านสุขภาพ พิจารณาจากจำนวนเด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ 2.5 กิโลกรัม ด้านการศึกษาพิจารณาจากเด็กอายุ 3-5 ปี ได้รับการเตรียมพร้อมพร้อมวัยเรียนหรือไม่ 6-14 ปี ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับกี่คน เป็นต้น ด้านรายได้ พิจารณาจากคนที่มีอายุ 15-59 ปี กี่คน ที่ไม่มีอาชีพ หรือไม่มีรายได้ เรื่องความเป็นอยู่ พิจารณาจาก ครัวเรือนมีน้ำใช้เพียงพอหรือไม่ ที่อยู่อาศัยมั่นคงหรือไม่ และเรื่องการเข้าถึงบริการภาครัฐ พิจารณาจากจำนวนผู้พิการ ผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแล