“พริกไทย” ราชาแห่งเครื่องเทศ เดิมเป็นสินค้าเกษตรที่สร้างรายได้อันดับต้นๆ ให้กับชาวจันทบุรี แต่ด้วยมีการขยายพื้นที่ปลูกมากจนเกินความต้องการของตลาด...

ปี 2535 ราคารับซื้อพริกไทยที่เคยขายได้ราคา กก.ละ 147 บาท ร่วงลงมาเหลือ 22-31 บาท เป็นจุดเปลี่ยนให้ชาวบ้านปรับพื้นที่แห่ไปปลูกอย่างอื่นแทน

แต่วันนี้กาลกลับกลาย พริกไทยหดหายขาดตลาด ราคาพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ กก.ละ 400–500 บาท...เป็นไปตามธรรมชาติของกลไกตลาด

“สวนพริกไทยที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เคยเป็นสวนเงาะสวนทุเรียน ตอนนั้นราคารับซื้อไม่ดีเหมือนวันนี้ โดยเฉพาะช่วงปี 2543 ราคาถูกมาก ทุเรียน กก.ละ 50-60 บาท เงาะ 2.50 บาท แถมผลผลิตแต่ละปีได้ไม่ตามเป้า เลยอยากปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นบ้าง จึงโค่นเงาะ 2 งาน เพื่อทดลองปลูกพริกไทย เพราะเป็นพืชที่สามารถเก็บผลผลิตไว้ได้นาน รอช่วงเวลาได้ราคาดีค่อยเอามาขายได้ ไม่เหมือนผลไม้ที่เก็บไม่ได้เลย”

...

นายภิรมย์ แก้ววิเชียร เกษตรกร ต.วังตาโหนด อ.นายายอาม จ.จันทบุรี ให้เหตุผลของการหันมาปลูกพริกไทย...หลังโค่นต้นเงาะออก 2 งาน แต่ด้วยดินส่วนใหญ่มีสภาพเป็นกรด จึงไถปรับพลิกหน้าดินลงผลานไถลึก 50-80 ซม.ขณะไถฉีดพ่นปุ๋ยน้ำไปด้วย เพื่อกระตุ้นให้จุลินทรีย์ในดินกลับมาสมบูรณ์ ตามด้วยปูนโดโลไมท์ ปูนมาร์ล ปุ๋ยอินทรีย์ ที่ผ่านการหมักมาแล้ว 2 เดือน...พื้นที่ 2 งาน ใช้ปุ๋ยหมัก 60 กระสอบ

หลังจากนั้น 1 เดือน หว่านปอเทือง กระทั่งปอเทืองออกดอก ไถกลบหมักดินทิ้งไว้ 15 วัน ไว้เป็นปุ๋ยพืชสด

“การปรับสภาพดินด้วยวิธีนี้ ช่วยทำให้ดินกลับมาสมบูรณ์เร็วขึ้น จากนั้นลงพริกไทยสายพันธุ์มาเลเซีย เพราะต้านทานโรครากเน่า เหมาะที่จะนำมาทำพริกไทยดำ พริกไทยขาว ต้นเติบโตเร็ว เก็บได้ปีละ 1 ครั้ง และลงพริกไทยพันธุ์ซีลอนขายเป็นพริกไทยสด 1 ปีเก็บผลผลิตได้ 2 ครั้ง ช่วยให้มีรายได้หมุนเวียน ปีแรกพื้นที่ 2 งาน มีรายได้จากการขายพริกไทย 50,000-60,000 บาท”

...

หลังจากเห็นผล รายได้ดีกว่าสวนผลไม้ ภิรมย์ตัดสินใจโค่นทุเรียนและเงาะในพื้นที่ ทั้งหมดเปลี่ยนมาปลูกพริกไทยเต็มพื้นที่ 10 ไร่...ทุกวันนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวปีละ 1,000,000 บาท แม้การลงทุนในช่วงปีแรกจะสูง แต่ถ้าดูแลดีๆ สามารถเก็บผลผลิตได้นานถึง 20 ปี.

เพ็ญพิชญา เตียว