วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เดินทางมาถึงแล้วในวันนี้ และหลังเที่ยงคืนคืนนี้ ปฏิทินแผ่นสุดท้ายของปี 2560 ก็จะถูกฉีกออกไป

ทุกๆ บ้าน ทุกๆ ครัวเรือนจะหันมาใช้ปฏิทินฉบับใหม่ อันเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นปีใหม่ "ปีจอ" พ.ศ.2561 ที่จะค่อยๆคืบคลานเข้ามาแทนที่

ได้เวลา "จากใจไทยรัฐสู่ท่านผู้อ่าน" ข้อเขียนปรับทุกข์ผูกมิตรระหว่างหนังสือพิมพ์ไทยรัฐกับท่านผู้อ่านกลับมาทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง

หน้าที่ปีละครั้ง...หนึ่งปีพบกันเพียงครั้งเดียวในวันส่งท้ายปีเก่าของทุกๆปี

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

คงต้องเริ่มด้วยการ “ปรับทุกข์” เช่นเคย เพราะเมื่อเหลียวหลังกลับไป 364 วัน ก่อนจะถึงวันนี้จะพบว่าปี 2560 ยังคงเป็นปีที่มีความทุกข์มากกว่าความสุขอีกปีหนึ่ง

ปีแห่งการปรับตัวปรับใจหลังจากที่คนไทยทั้งประเทศเกิดอาการ “ช็อก” อย่างใหญ่หลวงจากการสูญเสีย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปอย่างไม่มีพสกนิกรคนใดคาดคิดมาก่อนเมื่อ 13 ตุลาคม 2559

แต่ในที่สุดคนไทยก็ทำได้สำเร็จ โดยการค่อยๆเปลี่ยนความสะเทือนใจจากการสูญเสียให้กลับมาเป็นพลัง ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศนี้มานานนักหนาแล้ว

...

พลังแห่งความรู้รักสามัคคี พลังแห่งการตั้งใจกระทำความดีเพื่อชาติและสังคมไทย

คนไทยเริ่มหันหน้าเข้าหากัน ประสานมือประสานใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ

เกิดโครงการจิตอาสาทำดีถวายพ่อขึ้นที่โน่นที่นี่และที่นั่น นับโครงการไม่ถ้วน นับตั้งแต่ย่างเข้าสู่ต้นปี 2560 เป็นต้นมา

รวมทั้งการร่วมแรงร่วมใจหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันทุกภาคส่วน โดยมีรัฐบาลและภาครัฐเป็นแกนนำภาคเอกชนและประชาชนทุกหมู่เหล่าให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด

จัด พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ส่งเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช สู่สวรรคาลัยอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติยศ

26 ตุลาคม 2560 น้ำตาของพสกนิกรชาวไทยหลั่งไหลออกมาพร้อมๆกันอีกครั้งในวันถวายดอกไม้จันทน์ส่งเสด็จฯ

น้ำตาแห่งความอาลัยแห่งความจงรักภักดีและด้วยความเคารพเทิดทูนตลอดจนความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

พร้อมคำปฏิญาณว่าพวกเราชาวไทยจะใช้ชีวิตครองเรือน ครองตน ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทที่ทรงชี้แนะ และทรงบำเพ็ญพระองค์บนฐานแห่งความพอเพียงและความดีงามต่างๆ เป็นแบบอย่างแก่มหาชนชาวไทยมาโดยตลอด

บัดนี้ นํ้าตาของปวงชนชาวไทยแห้งเหือดลงแล้ว และพร้อมแล้วที่จะเดินหน้าสู้ชีวิตสู้โลกและกระทำความดีเพื่อแผ่นดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

คงต้องยอมรับว่า ปี 2560 หรือ “ปีระกา” ที่กำลังจะผ่านไปมิใช่ปีไก่ทองคำอย่างแน่นอนและไก่ตัวนี้ก็มิได้ออกไข่ทองคำแต่ประการใดทั้งสิ้น

เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง ในภาพส่วนรวม โดยเฉพาะในช่วงปลายๆปีที่การส่งออกของ ประเทศไทยพุ่งกระฉูดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เฉพาะไตรมาส 3 ไตรมาสเดียวกระฉูดขึ้นไปถึงร้อยละ 7.4 และยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4

การท่องเที่ยวของประเทศไทยก็ก้าวกระโดดอย่างเหลือเชื่อ เมื่อนักท่องเที่ยวแห่แหนมาเยือนประเทศไทยถึงกว่า 35 ล้านคน และนำเงินมาใช้จ่ายกว่า 1.83 ล้านล้านบาท

ประกอบกับการใช้จ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในโครงการใหญ่ๆค่อนข้างเป็นไปตามเป้า มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปี จนคาดกันว่าตลอดทั้งปี 2560 นี้ อัตราความเจริญ เติบโตน่าจะเกินร้อยละ 4 สูงกว่าที่เคยคาดไว้เมื่อปลายปีที่แล้ว

แต่ก็นั่นแหละ ผลของความเจริญเติบโตเหล่านี้ยังคงกระจุกอยู่ในหมู่คนกลุ่มน้อยของประเทศ ซึ่งมีฐานะดีอยู่แล้ว ไม่กระจายไปสู่คนส่วนใหญ่อย่างที่ควรจะเป็น

มิหนำซํ้าเกษตรกรในชนบทซึ่งมีฐานะด้อยมาแต่ไหนแต่ไร กลับประสบปัญหาราคาพืชผลตกตํ่า ไปจนถึงบางพื้นที่ก็เสียหายจากปัญหาอุทกภัยและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างซํ้าซากในหลายภูมิภาคของประเทศ

ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดตํ่าลง อันจะเป็นผลให้ช่องว่างของความเหลื่อมลํ้าในสังคมไทยเพิ่มพูนมากขึ้น

เป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน และอย่างถาวรสืบต่อไป

รัฐบาลซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ ก็ตระหนักในปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องของคนไทย และได้มีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ที่เรียกกันว่า “ครม.ประยุทธ์ 5” โดยมุ่งเน้นไปในด้านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

จะเกิดผลสัมฤทธิ์เพียงใดคงจะต้องติดตามกันต่อไปนับตั้งแต่วินาทีนี้

...

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

นอกจากปัญหาด้าน “เศรษฐกิจ” หรือปากท้องของประชาชนแล้ว การเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงทางด้าน “สังคม” ประการหนึ่งของประเทศไทยที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีระกาก็สมควรแก่การบันทึกไว้

เมื่อสังคมไทยก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมดิจิทัล ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ

ทำให้อุปนิสัยในการแสวงหาความรู้และการบริโภคข่าวสาร ตลอดจนความบันเทิงต่างๆของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง

คนไทยลดและเลิกการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร วารสาร หนังสือเล่ม หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์รายวัน หันมาอ่านเรื่องราวและข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือที่พกพาได้อย่างสะดวกสบายเป็นการทดแทน

ส่งผลให้สื่อสิ่งพิมพ์ยอดขายตกลงไปทุกขณะ จนนิตยสารเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองหลายฉบับต่างประกาศปิดตัวเองไปอย่างน่าใจหายในปีระกาที่กำลัง จะผ่านไป

ผลกระทบของสื่อออนไลน์ยังแผ่กว้างออกไปถึงธุรกิจห้างสรรพสินค้า เมื่อผู้บริโภคหันมาใช้บริการทางออนไลน์มากขึ้น

แม้แต่ธนาคารก็ลดจำนวนสาขา และอาจลดพนักงานต่อไปในอนาคต เมื่อบริการที่สำคัญๆ ของธนาคารหันมาใช้ระบบออนไลน์มากขึ้น

เหล่านี้ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต้องจับตา และจำเป็นที่รัฐบาล ตลอดจนผู้ประกอบการในธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจะต้องปรับตัวอย่างขนานใหญ่ เพื่อความอยู่รอด

แน่นอน การเกิดของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศ และเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น

และโดยข้อเท็จจริง การเปลี่ยนแปลงต่างหากที่จะนำไปสู่ความเจริญเติบโต สู่การสร้างงานและการสร้างรายได้ใหม่ๆเพิ่มขึ้น

การที่รัฐบาลปัจจุบันมุ่งมั่นจะเดินหน้าไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ หรือการเข้าสู่ยุค 4.0 จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

...

เพียงแต่จะต้องตระหนักด้วยว่า บนเส้นทางสู่ความทันสมัยย่อมจะมีผู้เสียหาย เพราะได้รับผลกระทบจากการปรับตัวไม่ทัน หรือไม่สามารถปรับตัวได้เลย...เกิดขึ้นอยู่เสมอ

รัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศ จำเป็นที่จะต้องบริหารการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวง ให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างมีสมดุล และเกิดผลกระทบที่น้อยที่สุด

ท่านผู้อ่านครับ

ในส่วนที่เป็นความสุข ความสำเร็จ ความน่าชื่นใจ ที่เกิดขึ้นในปีระกาก็มีอยู่มากมายหลายประการ เปรียบประดุจน้ำทิพย์ชโลมใจในยามยาก

นักกีฬาไทยหลายๆคนยังคงคว้าชัยชนะนำชื่อเสียงและความสุขใจมามอบให้แก่คนไทยทั้งชาติ

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น แชมป์โลกรุ่นซุปเปอร์ฟลายเวท สภา มวยโลก ในการน็อกเอาต์ โรมัน กอนซาเลซ อย่างหมดข้อกังขาในการชกป้องกันแชมป์โลกครั้งแรกของเขา เป็นที่ฮือฮา และโจษขานไปทั่วโลก

การขึ้นสู่อันดับ 1 ของโลกของ “น้องเม” เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟอาชีพหญิงชาวไทย แม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้น แต่ก็นำความภูมิใจมาสู่คนไทยอย่างบอกไม่ถูก และทุกวันนี้น้องก็ยังอยู่อันดับ 6 ของโลก พร้อมจะกลับมายิ่งใหญ่ได้ตลอดเวลา

ยังมีน้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันสาวไทย ที่คว้าแชมป์ได้ถึง 3 แชมป์ในปี 2560 และครองอันดับ 5 ของโลกในปัจจุบัน

เมื่อพูดถึงความสุขจากกีฬาก็ทำให้นึกถึง ตูน บอดี้สแลม หรือนาย อาทิวราห์ คงมาลัย นักร้องร็อกขวัญใจวัยรุ่นที่ใช้กีฬามาสร้างความสุขควบคู่ไปกับการสร้างความรัก ความสามัคคี ความเสียสละเพื่อส่วนรวมและความดีอีกหลายๆประการที่ควรจะต้องบันทึกไว้เช่นกัน

ด้วยระยะเวลา 55 วัน ของการวิ่งการกุศลในโครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ที่เริ่มจากอำเภอเบตง จังหวัดยะลาใต้สุดของสยาม ไปสู่อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ระยะทาง 2,215 กิโลเมตร

...

ตูน บอดี้สแลม ได้กลายเป็นขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศไปเรียบร้อย มิใช่เฉพาะขวัญใจหนุ่มสาวเท่านั้น

ประชาชนบน 2 ทางที่เขาวิ่งผ่าน รวมทั้งประชาชนในส่วนอื่นๆ ที่มิได้วิ่งผ่านล้วนเกิดความชื่นชม ความศรัทธาในตัวเขา ร่วมกันบริจาคกว่า 1,200 ล้านบาท

ปรากฏการณ์ ตูน บอดี้สแลม นับเป็นการจุดพลุให้คนไทย “รวมใจเป็นหนึ่ง” หันมานึกถึงคนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่า

ควบคู่ไปกับการเพาะบ่มความมีจิตอาสาให้คนไทยนึกถึงสังคม นึกถึงส่วนรวม บังเกิดความเอื้ออาทร และพร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

เป็นความสุขและความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายปี 2560 และจะส่งผลสะท้อนต่อสังคมไทยในปี 2561 และปีต่อๆไป อีกยาวนานข้างหน้า

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

เมื่อพูดถึงปี 2561 หรือปีจอ คนไทยต่างก็หวังว่าจะเป็นปีที่ดีขึ้น...อย่างน้อยก็น่าจะเป็นปีที่ดีกว่าปีระกา

เหตุการณ์ที่จะเป็นมงคลอย่างยิ่งแก่พสกนิกรชาวไทยก็คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่จะมีขึ้นในปี 2561 ที่จะเวียนมาถึงนี้

นับเป็นพระราชประเพณีของไทยมาแต่โบราณกาล เมื่อมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่แล้วจะต้องมีการจัดพิธีพระบรมราชาภิเษกขึ้น เพื่อรับรองฐานะความเป็นประมุขแห่งประเทศอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง

แม้รัฐบาลจะยังมิได้แจ้งหมายกำหนดการว่า จะมีพิธีพระบรมราชาภิเษก ในหลวงรัชกาลที่ 10 เมื่อใด แต่ก็เป็นที่รอคอยของพสกนิกรชาวไทย และเตรียมการที่จะร่วมกันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคลอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อมีหมายกำหนดการขึ้นแล้ว

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

ในส่วนของความน่าห่วงใย ของปี 2561 และจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด น่าจะเป็นเหตุการณ์ในระดับโลกมากกว่าเหตุการณ์ในประเทศ

โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดจากความคิดและการกระทำของบุคคลสำคัญของโลก ที่มีความไม่แน่นอนสูง คาดเดายาก และอาจตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งที่คาดไม่ถึงได้ตลอดเวลา ถึง 2 บุคคลด้วยกัน

หนึ่งก็คือ นาย คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่มีฉายาว่าคิมเขย่าโลก และได้มีพฤติกรรมที่ทำให้โลกเขย่ามาตลอดปี 2560

โลกจะจัดการกับบุคคลผู้นี้ได้หรือไม่?อย่างไร?

รวมทั้งพฤติกรรมเขย่าโลกของเขาจะมีอะไรออกมาอีก? และจะเขย่ารุนแรงแค่ไหน?

ล้วนเป็นประเด็นที่ชาวโลกจะต้องติดตามด้วยความกังวลในปี 2561 ที่จะมาถึง

ในขณะที่อีกบุรุษหนึ่งซึ่งก็มีความไม่แน่นอนและคาดเดาการตัดสินใจได้ยากไม่แพ้กัน ได้แก่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา

นโยบายอเมริกาต้องมาก่อนของเขายังดำเนินต่อไป และนโยบายหันหลังให้แก่โลกของเขาก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

รวมถึงนโยบายภายในประเทศที่สร้างความแตกเป็นเสี่ยงๆของคนอเมริกันก็ยังมีต่อไป

อย่าลืมว่า ทรัมป์เพิ่งอยู่มาได้เพียงปีเดียวจาก เวลาถึง 4 ปี ของการเป็นประธานาธิบดีรอบแรก ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ

เขายังจะอยู่สร้างความกังวลและความว้าวุ่นให้แก่โลกได้ต่อไปอีกนาน

ที่สำคัญ แม้จะพยายามหันหลังให้โลกอย่างไรก็ตาม แต่สหรัฐฯก็คงหลีกเลี่ยงหน้าที่ตำรวจโลกไปไม่พ้น

ความน่ากังวลของชาวโลกใน “ปีจอ” ประการแรกก็คือ หากโดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องทำหน้าที่ตำรวจโลกกับผู้นำเกาหลีเหนือ อะไรจะเกิดขึ้น

เมื่อคนที่มีอะไรไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน 2 คน มาเผชิญหน้ากันในสมรภูมิ โลกย่อมไม่มีความสุขแน่นอน เว้นเสียแต่จะพบกันบนโต๊ะเจรจาโต๊ะใดโต๊ะหนึ่งเท่านั้น

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

ลืมข่าวน่าห่วงใยในปีจอ หันมามองเรื่องดีๆ หรือข่าวดีๆ ที่จะทำให้ชาวไทยและชาวโลกมีความสุขกันดีกว่า

ในด้านเศรษฐกิจเชื่อกันว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปีหน้า หลังการฟื้นตัวที่ชัดเจนเช่นกันของสหรัฐอเมริกา

มหกรรมระดับโลก ที่ชาวโลกรวมทั้งชาวไทย ด้วยรอคอยกันอยู่ เห็นจะหนีไม่พ้น “การแข่งขันฟุตบอลโลก” ที่รัสเซียจะเป็นเจ้าภาพในปี 2018 หรือปี 2561 ในกลางเดือนมิถุนายนจนถึงกลางเดือนกรกฎาคมศกหน้า

แม้สถานการณ์ล่าสุดจะยังคงอึมครึมอยู่ อันจะเป็นผลให้คนไทยอาจจะไม่สามารถร่วมเสพความสุขจากฟุตบอลโลกได้อย่างเต็มที่ เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่ทราบว่าจะได้ดูถ่ายทอดสดหรือไม่

เนื่องจากยังไม่มีภาคเอกชนรายไหนกล้าไปประมูล เนื่องจากติดกฎ “มัสต์ แฮฟ” ของ กสทช.

แต่ล่าสุดก็มีคำยืนยันจากปากของ “บิ๊กป้อม” ว่า รัฐบาลกำลังใช้ความพยายามอยู่และเชื่อมั่นว่าคนไทยจะได้ดูฟุตบอลโลกอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี สำหรับความสุขทางด้านกีฬาที่จะเกิดขึ้นและคนไทยจะมีส่วนร่วมสุขได้อย่างเต็มที่ก็คือ “มหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์” นั่นเอง

ระหว่าง 18 สิงหาคม 2561 ถึง 2 กันยายน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย จะมีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์อีกครั้ง

ประเทศไทยของเราจะส่งนักกีฬาไปร่วมเช่นเคย และก็เป็นที่คาดหวังกันว่า จะคว้าเหรียญทอง นำความสุขมาฝากคนไทยได้จำนวนหนึ่ง

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

ในด้านเศรษฐกิจหรือเรื่องปากท้องของคนไทยเรานั้น โหรเศรษฐกิจส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าปีหน้าเราน่าจะผ่านสถานีหลักสี่ คือ ทำความเจริญเติบโตได้เกิน 4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป

เชื่อว่าการส่งออกการท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่อง และราคาสินค้าเกษตร น่าจะฟื้นตัวขึ้น

หากรัฐบาลและทีมเศรษฐกิจดูแลเรื่องการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำได้มากขึ้น คนไทยในปีจอ น่าจะยิ้มออกมากกว่าปีนี้

ส่วนในการ “เลือกตั้ง” เพื่อก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย แม้บิ๊กตู่จะยืนยันหลายครั้งว่าจะเป็นไปตาม โรดแม็ป

นั่นคือประกาศให้มีการเลือกตั้งได้ในเดือน พฤศจิกายน

แต่การเลือกตั้งจริงๆ คาดว่าอาจต้องรอกฎหมาย ลูกและอาจต้องเลื่อนระยะเวลาออกไปอีก

ก็ได้แต่หวังว่าคนไทยจะไม่ต้องรอไปจนถึงปี “หมู” หรือปีหน้า 2562

ไม่ใช่อะไรหรอก กานํ้าเดือดที่ถูกปิดฝามานานแล้วจะต้องรีบเปิดฝาให้ควันระบายออกโดยเร็วที่สุด

ก่อนที่กานํ้าที่มีนํ้าร้อนระอุเต็มที่จะแตกระเบิดออกมา

การเลือกตั้งภายในปี 2561 จึงดีที่สุด

เพื่อผ่อนความระอุของไอนํ้าลงให้มากที่สุดที่จะมากได้

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

ในส่วนของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเรานั้น ปี 2561 หรือปีจอจะเป็นปีที่มีความสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่งทั้งสำหรับพวกเราชาวไทยรัฐเอง และสำหรับท่านผู้อ่านและคนไทยทุกคน

ดังที่ทราบกันแล้วว่า องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโกได้ประกาศยกย่องให้ ผอ.กำพล วัชรพล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและมูลนิธิไทยรัฐ เป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา และสื่อมวลชนจะมีการเฉลิมฉลองในโอกาส 100 ปีชาตกาลของท่าน ใน พ.ศ.2561-2562

ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า หนังสือพิมพ์ไทยรัฐจะร่วมมือกับยูเนสโก และกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนองค์กรที่เกี่ยวข้องในการจัดงานเฉลิมฉลองที่สำคัญ เช่น การสัมมนา การอภิปรายทางวิชาการ การจัดพิมพ์หนังสือเอกสาร ตลอดจนนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับ ผอ.กำพลเป็นระยะๆ

ที่สำคัญที่สุด หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ตัดสินใจที่จะก่อสร้างโรงเรียนไทยรัฐวิทยาเพิ่มเติมอีก 10 โรง โดยจะเริ่มทยอยสร้างตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และ มูลนิธิไทยรัฐ ขอยืนยันว่าจะให้การสนับสนุน และดูแลโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ซึ่งต่อไปจะมี 111 โรง ให้ดีที่สุดตามเจตนารมณ์ของ ผอ.กำพล วัชรพล ที่ได้ริเริ่มไว้อันเป็นส่วนหนึ่งของการได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกดังกล่าว

สำหรับหน้าที่อื่นๆที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเคยดำเนินการมาในอดีต โดยเฉพาะการทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ดี ตลอดจนการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวไทยนั้น เราขอยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

การนำเสนอข่าวสารที่ถูกต้องให้ความเป็นธรรมและมีความเป็นกลางจะยังคงเป็นบรรทัดฐานที่เรายึดมั่นตลอดไป

เราตระหนักดีว่า ผลกระทบจากการบริโภคสื่อสมัยใหม่ของคนไทยค่อนข้างหนักหน่วงและรุนแรง และเราเองก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญเช่นเดียวกับเพื่อนสื่อสิ่งพิมพ์อื่นๆ

แต่เราก็พร้อมที่จะยืนหยัดสู้ พร้อมจะปรับตัวเองและสรรหาสิ่งใหม่ๆมาเสนอต่อท่านผู้อ่านอย่างไม่หยุดยั้ง

การจัดทำหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับพิเศษ ที่เรียกกันว่าหนังสือพิมพ์พูดได้ หรือหนังสือพิมพ์ “แสงสีเสียงและสื่อประสม” โดยใช้ระบบ AR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ในฉบับ “100 วันน้อมอาลัยในหลวงภูมิพล” คงจะเป็นที่ประจักษ์แล้ว

เพราะเราสามารถทำยอดจำหน่ายได้ถึง 3 ล้านฉบับ อันเป็นประวัติศาสตร์ของหนังสือพิมพ์ไทย

นอกจากนี้ เรายังดำเนินการต่อมาอีกระหว่างวันที่ 13 ตุลาคม ถึงวันที่ 26 ตุลาคม ในโครงการ ที่ชื่อว่า “ไทยรัฐร่วมพสกนิกรไทยส่งใจสู่ฟ้าอาลัยพ่อ”

บันทึกความรัก ความอาลัย ความจงรักภักดี ตลอดจนการเตรียมพิธีการอันยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติยศในการส่งเสด็จฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่สวรรคาลัย เป็นหนังสือพิมพ์พูดได้ หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ อีกถึง 14 วันเต็มๆ

และดังได้กล่าวแล้วในตอนต้นว่า ปี 2561 จะเป็นปีสำคัญอีกปีหนึ่งของพสกนิกรชาวไทย

เพราะจะเป็นปี “พระบรมราชาภิเษก” ในหลวงรัชกาลที่ 10

เราจะจัดทำไทยรัฐฉบับพิเศษ และจะเป็นฉบับ “พูดได้” หรือแสงสีเสียงและสื่อประสมในระบบ AR อีกครั้งหนึ่ง

ท่านผู้อ่านที่เคารพ

ไม่ว่าปีไก่ 2560 ที่กำลังจะผ่านไปจะเป็น อย่างไร? และไม่ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าปีจอ 2561 ที่จะมาถึงจะเป็นอย่างไร?

แต่เมื่อเหตุการณ์ยังมาไม่ถึงเราก็จะต้องมองในแง่ดีเอาไว้ก่อน

เพราะการมองโลกในแง่ดี มองอย่างมีความหวังอย่างมีกำลังใจ จะทำให้เรามีชัยไปแล้วกว่าครึ่ง ดังที่คนโบราณสอนไว้

ขอให้เรามอง “ปีจอ” 2561 ด้วยความหวัง... หวังว่าจะดีกว่า “ปีไก่” 2560 และจะดีกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมาในชีวิตเรา

เราจะจับมือกันเดินต่อไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ อย่างใจสู้และไม่ท้อแท้

ทุกครั้งที่คนไทยจับมือกัน และรู้รักสามัคคี กัน ประวัติศาสตร์สอนเราว่า เราไม่เคยพ่ายแพ้ใน การศึกใดๆเลย ไม่ว่าศึกใหญ่หรือศึกเล็กก็ตาม.

สวัสดีปีใหม่ 2561.