ซัมซุง เจอวิกฤติโน้ต 7 โหมกระหน่ำ ส่งผลกำไรในไตรมาสที่ 3 หายไปในพริบตา นับ 30% ลดลงมาเหลือ 1.6 แสนล้าน ต่ำสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่บรรดาผู้ถือหุ้น ดัน ลี แจ ยง ลูกชายประธานบริษัทซัมซุงนั่งแท่นในคณะกรรมการบริหารของบริษัท
เมื่อ 27 ต.ค.59 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า บริษัทผลิตสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่ของโลก บริษัทซัมซุง เจอศึกหนักจากวิกฤติโน้ต 7 ส่งผลกำไรในช่วงไตรมาสที่ 3 ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ของปี 2559 ลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยมีกำไรลดลงมาเหลืออยู่ที่ 5.2 ล้านล้านวอน หรือ 4,600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.6 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นผลกำไรที่ต่ำสุดในรายไตรมาสของบริษัทซัมซุงในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน บรรดาผู้ถือหุ้นของบริษัทซัมซุง ได้สนับสนุนให้นาย ลี แจ ยง วัย 48 ปี ซึ่งเป็นหลานชายของนายลี บยอง ชอล ผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุงและเป็นบุตรชายของนายลี คุน ฮี ประธานบริษัทซัมซุง ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้บริหารของบริษัท แม้จะถูกมองว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญของการให้นายลี แจ ยงเข้ามาดูแลบริหารบริษัทซัมซุง ซึ่งถือเป็นบริษัทที่บริหารโดยคนในตระกูล แต่ขณะเดียวกัน ก็ก่อให้เกิดคำถามขึ้นบางประการ เนื่องจากนายลี แจ ยง ไม่เคยมีตำแหน่งหรือบทบาทสำคัญในบริษัทมาก่อนเลย
...
ทั้งนี้ วิกฤติโน้ต 7 ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน อันเนื่องจากเกิดปัญหาเครื่องกาแลคซี่ โน้ต 7 เกิดระเบิดและไฟลุกไหม้ หลังจากซัมซุงเพิ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายใน 10 ประเทศทั่วโลก เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา จนทำให้ทางซัมซุงต้องประกาศเรียกคืน จนกระทั่งถึงขั้นประกาศหยุดผลิต หยุดจำหน่ายกาแลคซี่ โน้ต 7 ไปแล้วนั้น ถือเป็นพายุลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำทำลายชื่อเสียง ความเชื่อมั่น และคุณภาพของสมาร์ทโฟนที่ผลิตโดยซัมซุงเป็นอย่างมาก
ตามความเห็นของนักวิเคราะห์มองว่า ที่ผ่านมา ซัมซุง ซึ่งมีบริษัทไอที ยักษ์ใหญ่อย่าง แอปเปิล เป็นคู่แข่ง ได้พยายามจะปรับปรุงพัฒนาคุณภาพของมือถือมาโดยตลอด แต่วิกฤติโน้ต 7 ซึ่งเป็นผลมาจากเครื่องร้อน และเกิดไฟลุกไหม้ ถือเป็นการทำลายความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ซัมซุง โดยนายเจค ซอนเดอร์ นักวิจัยของเอบีไอ ชี้ว่า มันเป็นความเจ็บปวด เพราะโน้ต 7 มีศักยภาพที่จะขายได้ถึง 15-17 ล้านเครื่อง แต่ตอนนี้ มันจากไปแล้ว ซึ่งขณะเดียวกัน ก็กลายเป็นโอกาสของบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นๆ ที่จะกระโดดขึ้นมาในขณะนี้.