“ในหลวง” ยิ้มทุกครั้งเมื่อนึกถึง

กรุงปารีส ปี 2490 ปรากฏภาพชายหญิงทั้งชาวไทยและยุโรปตั้งขบวนรวมตัวกันรอคอยต้อนรับ “ใคร” สักคนอย่างใจจดใจจ่อ และดูจากท่าทางของผู้คนในขบวนแล้ว เห็นชัดว่า “ใคร” ผู้นั้น มีความสำคัญมาก

กลุ่มคณะที่มาต้อนรับ “ใคร” ผู้นั้น นำโดย “หม่อมเจ้านักขัตรมงคล” เอกอัครราชทูตไทยประจำฝรั่งเศส พร้อมคณะบุคคลสถานทูตไทยฯ ขบวนรถอารักขา ตลอดจนนักเรียนไทยทั้งหมด ต่างตั้งใจมารับเสด็จ “พระมหากษัตริย์” ของพวกเขาด้วยความปีติยินดี

บุคคลสำคัญที่ว่าก็คือ “ในหลวง รัชกาลที่ 9” กษัตริย์ หนุ่ม พระชนม์ 20 พรรษา

ในช่วงเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ สาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ นับจากเกิดเหตุการณ์สวรรคตกะทันหันของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2489 หลังจากนั้น 2 เดือนเศษ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ก็เสด็จฯประทับที่สวิตเซอร์แลนด์ กับสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ณ พระตำหนักวิลล่าวัฒนา เมืองโลซานน์ ท่ามกลางความทุกข์โทมนัสอย่างสุดซึ้ง โดยมีพระราชภารกิจสำคัญคือ การศึกษาศาสตร์ทุกแขนงให้ทรงพร้อมใช้ปกครองประชาชนของพระองค์ในอนาคต

...

อย่างไรก็ดี การเสด็จฯจากเมืองโลซานน์ มายังกรุงปารีสครั้งนี้ ถือเป็นพรหมลิขิต!! เนื่องด้วยทรงมีพระราชประสงค์จะเลือกซื้อรถยนต์พระที่นั่งแทนคันเดิมที่ทรุดโทรม กระนั้น ในหลวงทรงยืนยันว่าจะประทับที่สถานทูตไทยประจำฝรั่งเศส เฉกเช่นนักเรียนไทยยุคนั้น นี่คือเหตุแห่งความปลื้มปีติของ “หม่อมเจ้านักขัตรมงคล” ข้าราชบริพาร และเหล่านักเรียนไทย รวมถึง “หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร” คุณหญิงวัย 15 ปี ธิดาองค์ใหญ่ของท่านเอกอัครราชทูตไทยฯ ที่จะได้มีโอกาสชื่นชมพระบารมีในหลวงอย่างใกล้ชิด

ยิ่งใกล้เวลา 4 โมงเย็นตามหมายกำหนดการ คณะผู้มารอรับเสด็จก็ยิ่งตื่นเต้น แต่ 4 โมงเย็นผ่านไป กระทั่งฟ้ามืดยังไม่มีวี่แววรถยนต์พระที่นั่งจะมาถึง ตอนนี้บรรดา “ผู้ใหญ่” ที่มาเฝ้ารอตั้งแต่บ่ายต้น เริ่มมีท่าทีกระวนกระวาย เพราะทราบกันดีว่า “กษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้” ทรงมีพระนิสัยตรงต่อเวลาเสมอ การผิดเวลาอย่างมาก ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจระคนห่วงกังวลใจ

สำหรับ “หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์” เริ่มออกอาการ “หน้ามุ่ย” ด้วยความหิว เพราะเวลานั้นล่วงเลยไปจนเกือบ 1 ทุ่ม ไหนจะเหนื่อยล้าจากการซักซ้อมถอนสายบัวตั้งแต่บ่าย ดังนั้น การพบกันครั้งแรกนี้จึงไม่ทำให้คุณหญิงประทับใจ แม้ภายหลังจะรู้ความจริงว่ารถยนต์พระราชพาหนะเกิดเครื่องเสียและน้ำมันหมดกลางทาง

“สำหรับข้าพเจ้าเป็นการ “เกลียดแรกพบ” มากกว่า “รักแรกพบ” เนื่องเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า จะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงแล้วเสด็จมาถึง 1 ทุ่ม ช้ากว่านัดหมายตั้ง 3 ชั่วโมง ทรงทำให้ข้าพเจ้าต้องซ้อมถอนสายบัวจนแล้วจนเล่า จึงเป็นการ “เกลียด” เมื่อแรกพบ มากกว่า “รัก” เมื่อแรกพบ...” พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ปรากฏในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ขวัญของชาติ” ทางสถานีโทรทัศน์ บี.บี.ซี. กรุงลอนดอน เมื่อปี 2521

ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระราชชนนีได้รับสั่งถึง “ความน่ารัก” ของ “หม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์” ให้พระราชโอรสองค์เล็กได้ทรงทราบบ้างแล้ว กระทั่งเมื่อในหลวงเสด็จเยือนปารีสครั้งนี้ ก็ยังรับสั่งกับพระราชโอรสเป็นพิเศษว่า “ให้ไปทอดพระเนตรธิดาของท่านทูตไทยว่าสวยและน่ารักไหม” พร้อมกำชับว่า “ถึงปารีสแล้ว โทร.บอกแม่ด้วย”

ไม่มีใครทราบว่า ส่วนลึกในพระราชหฤทัยของกษัตริย์หนุ่มทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อแรกสบตากับคุณหญิง กระทั่งในหลวงทรงโทรศัพท์กลับไปยังโลซานน์ ความในพระราชหฤทัยจึงปรากฏ เมื่อสมเด็จพระราชชนนีทรงมีรับสั่งถามถึง “ธิดาของท่านนักขัตรฯ” และได้รับคำตอบสั้นๆว่า “เห็นแล้ว น่ารักมาก”

เรื่อง “รักแรกเกลียด” และ “สาวน้อยหน้างอ” กลายเป็นเรื่องที่ในหลวงทรงนำมาล้อ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ตลอดว่า “เดินตุปัดตุเป๋ หน้างอ คอยถอนสายบัว” ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงตอบว่า “ที่หน้างอ เพราะให้แต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กกลับไล่ไปกินที่อื่น”

นับเป็นหนึ่งในความทรงจำแสนงาม ที่ทำให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระสรวลได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึง!!

มิสแซฟไฟร์