ปัง! ปัง! ปัง! เสียงกราดยิงดังสนั่นในร้านอาหารและโรงละครบาตากล็อง ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ผู้คนค่อยๆ ล้มลงหลังสิ้นเสียงปืน ในขณะเดียวกันได้มีเสียงตูม!! ของระเบิด กลบเสียงเชียร์ฟุตบอลแมตช์ระดับชาติระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ฝุ่นควันตลบอบอวลไปทั่วพื้นที่ เหตุสะเทือนขวัญครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 70 ปีของฝรั่งเศสได้อุบัติขึ้นอีกครั้ง!!! และในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 153 ศพ ซึ่งการก่อเหตุวินาศกรรมเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก แต่ยังมีอีกหลากหลายเหตุการณ์ที่ถูกจารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ รวมไปถึงความทรงจำของคนทั่วโลก
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอย้อนรำลึกการก่อการร้าย และเหตุวินาศกรรมสุดสะเทือนขวัญ ที่เชื่อว่าคนทั้งโลกยังจดจำฝังใจแบบไม่มีวันลืมเลือน จะมีเหตุการณ์ใดบ้าง ลองติดตามกันได้ที่นี่...
...
9/11 อัลกออิดะห์ จี้ อากาศยานพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดฯ ถล่ม!
เหตุการณ์แรกที่จะพาไปย้อนรอยนั้น ถือเป็นเรื่องช็อกระดับโลกไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ในวันที่ 11 ก.ย. 2544 หรือที่เรียกกันว่า “เหตุการณ์ 9/11” ได้เกิดเหตุวินาศกรรมช็อกโลกในสหรัฐอเมริกาขึ้น เมื่อกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงอัลกออิดะห์ 19 คน ได้จี้อากาศยาน 4 ลำ ก่อนที่เหตุการณ์เลวร้ายจะอุบัติขึ้นในเวลาต่อมา...เริ่มด้วยเครื่องบินลำแรกของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน 11 ได้พุ่งชนอาคารด้านเหนือของตึกแฝด ในเวลา 08.46 น. เปลวเพลิงลุกท่วมชั้น ถัดมาในเวลา 09.03 น. เที่ยวบิน 175 ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ส เข้าชนอาคารด้านใต้ของตึกแฝดอีกครั้ง เป็นเหตุให้อาคารทั้งสองถล่มลงมาภายในสองชั่วโมง
เหตุการณ์วุ่นวายที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ยังไม่ทันจบ เครื่องบินลำที่ 3 ของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน 77 พุ่งเข้าชนส่วนหน้าอาคารของตึกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ในเวลา 09.37 น. ส่วนเครื่องบินลำที่ 4 ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน 93 ที่คาดว่าจะพุ่งชนทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กลับตกลงในเขตท้องทุ่งเมืองแชงก์วิลล์ รัฐเพนซิลวาเนีย หลังจากที่ผู้โดยสารและลูกเรือพยายามขัดขวางแผนการของกลุ่มก่อการร้าย
เหตุวินาศกรรมในครั้งนี้ ทำให้ไม่มีผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินทั้ง 4 ลำ แม้แต่คนเดียว ส่วนยอดผู้เสียชีวิตจากในตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ อาคารเพนตากอน รวมถึงผู้อยู่บริเวณโดยรอบมีจำนวนทั้งสิ้น 2,996 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 6,000 คน
ภายหลังจากเกิดเหตุ โอซามา บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ได้ออกมารับผิดชอบต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ โดยอ้างแรงจูงใจในการก่อเหตุว่า สหรัฐฯ เข้ารุกรานอัฟกานิสถาน หวังล้างแค้นกลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งพักพิงอยู่ในตาลีบัน
...
“11-M” ระเบิดรถไฟ 4 ขบวน ใจกลางกรุงมาดริด แค้นรัฐฯ เข้าร่วมสงครามอิรัก!
ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าสลดที่สุดในประวัติศาสตร์สเปนก็ย่อมได้ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 11 มี.ค. 2547 ก่อนการเลือกตั้งของสเปนเพียงสามวัน เมื่อรถไฟกำลังจะเข้าเทียบสถานีอาโตชา ซึ่งเป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองมาดริด เสียงระเบิดลูกแรกได้ดังขึ้น และอีกไม่กี่นาทีต่อมา ระเบิดลูกอื่นๆ ได้ระเบิดตามกันมา รวมทั้งสิ้น 14 ลูก บนรถไฟทั้ง 4 ขบวน ส่งผลให้รถไฟขาดออกเป็นท่อนๆ ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ การระเบิดรถไฟในครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิต 200 คน และบาดเจ็บอีกประมาณ 1,500 คน
หลังจากเกิดเหตุเลวร้าย ชาวสเปนกว่า 11 ล้านคน ได้ออกมาเดินขบวนบนท้องถนนประณามผู้ก่อการร้าย ซึ่งก็คือกลุ่มอัลกออิดะห์ที่ออกมาประกาศตัวว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ เนื่องจากไม่พอใจที่รัฐบาลสเปนไปเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในสงครามอิรัก ทำให้พี่น้องมุสลิม ผู้บริสุทธิ์ล้มตายเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ การก่อเหตุในครั้งนี้ ยังส่งผลกระทบไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่มีอัตราผู้ใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้ว และผลปรากฏว่า ประชาชนต่างเทเสียงให้กับพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีนโยบายคัดค้านการเข้าร่วมสงครามมาโดยตลอด การก่อการร้ายครั้งนี้นับเป็นครั้งที่รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในยุโรป และเป็นที่จดจำของใครหลายคนในชื่อของ “11-M”
...
ก่อการร้ายที่เลวร้ายที่สุด! ระเบิดล้างแค้นอังกฤษรุกรานอิรัก-อัฟกานิสถาน
ย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปีก่อน วันที่ 7 ก.ค. 2548 ในช่วงเวลาเร่งด่วนของเช้าวันหนึ่ง ได้เกิดเหตุระเบิดกลางกรุงลอนดอนขึ้น 4 ครั้งซ้อน ซึ่ง 3 ลูกแรกเกิดเหตุระเบิดในรถไฟใต้ดิน 3 ขบวน จากนั้นอีกครึ่งชั่วโมงรถประจำทางสองชั้นถูกระเบิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4
จากฝันร้ายในครั้งนี้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 56 ศพ และผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 700 คน โดยเหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 1 วัน หลังผู้คนในมหานครลอนดอนต่างพากันเฉลิมฉลอง เนื่องจากได้รับข่าวดีจากการได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2012 และกำลังอยู่ระหว่างจัดการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี8) ในสกอตแลนด์
...
จากความสุขแปรเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าเพียงช่วงเวลาแค่ข้ามคืน โรงละครใหญ่ๆ ในย่านเวสต์เอนด์ทั้งหมดงดการแสดงชั่วคราว หน่วยราชการทั่วอังกฤษลดธงลงครึ่งเสา โดยวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย แสดงความเสียใจต่อการก่อเหตุครั้งนี้ และเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมกันต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศ ส่วนเจ้าโลกอย่างสหรัฐฯ ได้เพิ่มระดับเตือนภัยก่อการร้ายสำหรับระบบรถไฟและรถไฟใต้ดิน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมงกลุ่ม "องค์กร อัลกออิดะห์ ญิฮาด ในยุโรป" ได้ออกแถลงแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเหตุผลที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจวางระเบิด คือ การล้างแค้นที่อังกฤษได้รุกรานอิรักและอัฟกานิสถาน
“แม้เหตุวินาศกรรมลอนดอนจะผ่านมา 10 ปีแล้ว แต่การก่อการร้ายก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม อังกฤษจะไม่ยอมแพ้ให้กับการก่อการร้ายอย่างแน่นอน” เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวเมื่อครั้งรำลึก 10 ปีเหตุระเบิดลอนดอน
สังหารหมู่นอร์เวย์ น้ำมือยมทูตร้าย ผู้มีแนวคิดขวาจัด!
ไม่ใช่เพียงแต่การก่อการร้ายเท่านั้น ยังมีเรื่องราวสุดสะเทือนขวัญจากเหตุการณ์ “สังหารหมู่นอร์เวย์” ด้วยน้ำมือยมทูตสุดโหดนามว่า แอนเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก หนุ่มคลั่งอุดมการณ์แนวคิดขวาจัด โดยลงมือก่อเหตุครั้งแรกจากการวางระเบิดสำนักราชการหลายแห่งในกรุงออสโล เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2554 แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ศพ และได้รับบาดเจ็บกว่า 10 ราย จากนั้นราวสองชั่วโมงต่อมา เบรวิก แต่งกายในชุดตำรวจ โดยสารเรือไปยังเกาะอูโทยา ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายเยาวชนฤดูร้อนประจำปีของพรรคแรงงานนอร์เวย์
เมื่อเบรวิกมาถึงเกาะ ได้แสดงตนเป็นตำรวจโดยให้เยาวชนกว่า 600 คน มารวมตัวอยู่รอบตัวเขา ก่อนที่เบรวิกจะชักอาวุธปืนกราดยิงอย่างไม่เลือกหน้า ทำให้มีผู้เสียชีวิต 69 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่มาเข้าค่ายในครั้งนี้ รวมถึงยังมีผู้เสียชีวิตเป็นหญิงชาวไทยอีก 1 รายด้วย
หลังจากนั้น ได้มีการเปิดเผย แถลงการณ์ยาว 1,500 กว่าหน้าของเบรวิก ชื่อว่า “2083 การประกาศอิสรภาพของยุโรป” ซึ่งถูกโพสต์ก่อนเกิดเหตุเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยในแถลงการณ์ของเขาเปิดเผยถึงแนวคิดทางการเมืองหลายแนวคิด รวมทั้งการสนับสนุนลัทธิอนุรักษนิยมทางวัฒนธรรม ประชานิยมฝั่งขวา และอธิบายถึงความจงเกลียดจงชังต่อศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ ในรายงานของตำรวจ ยังเผยว่า เบรวิก เตรียมปฏิบัติการมานาน 2 ปี พร้อมทั้งยังตั้งบริษัทเกษตรไว้ซื้อปุ๋ยทำระเบิดเพื่อการนี้โดยเฉพาะด้วย
ตูมสนั่นบอสตันมาราธอน! จากฝีมือสองพี่น้องผู้ชิงชังอเมริกา
อีกหนึ่งเหตุการณ์สะเทือนโลก “ระเบิดบอสตันมาราธอน” เหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2556 ในมหกรรมแข่งขันวิ่งมาราธอนรายการใหญ่ ใจกลางนครบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ขณะที่ นักวิ่งหลายพันคนวิ่งตรงไปยังจุดเส้นชัยบนถนนบอยล์สตัน จู่ๆ ก็มีระเบิดดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ถัดจากระเบิดตูมแรกเพียง 12 วินาที ระเบิดลูกที่สองทำงานอีกครั้ง โดยระยะห่างระหว่างระเบิดทั้งสองลูกห่างกันเพียง 1 ช่วงตึกเท่านั้น ส่วนบรรดานักวิ่ง และฝ่ายจัดการแข่งขันต่างวิ่งหนีหาที่ปลอดภัยกันอลหม่าน
ด้วยแรงระเบิดซึ่งดัดแปลงจากหม้อต้มความดัน ที่ถูกฝังไว้บริเวณเส้นชัยของการแข่งขัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บ 264 คน ในจำนวนนี้ 17 คนต้องสูญเสียอวัยวะ ถัดมาอีก 2 วัน (17 เม.ย.2556) ตำรวจเผยภาพคนร้ายที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิด โดยพบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นชาย 2 คนแบกเป้ปะปนเข้าไปกับผู้ร่วมงานมาราธอน ซึ่งผู้ก่อเหตุทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน ผู้พี่มีชื่อว่า ทาเมอร์ลัน ซาร์นาเยฟ อายุ 26 ปี และผู้น้องชื่อว่า โซการ์ ซาร์นาเยฟ อายุ 19 ปี
จากนั้น 2 พี่น้องได้หลบหนีจากที่เกิดเหตุ และสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นาย ก่อนที่ทาเมอร์ลันจะถูกยิงเสียชีวิตระหว่างยิงต่อสู้กับตำรวจ ส่วนโจการ์ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ กระทั่งถูกต้อนจนมุมและถูกจับกุมใน 4 วันต่อมา โดยผู้น้องให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า ตนและพี่ต่อสู้เพื่อล้างแค้นให้พี่น้องมุสลิมทั่วโลกที่ถูกกดขี่ จากการที่สหรัฐฯ ก่อสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ต่อมาในวันที่ 15 พ.ค.2558 คณะลูกขุนสหรัฐอเมริกา ตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิตนายโซการ์ ซาร์นาเยฟ ด้วยวิธีฉีดยาพิษ
"ผมขอโทษสำหรับชีวิตที่ผมได้พรากไป สำหรับความเจ็บปวด และสำหรับความเสียหายที่ผมได้กระทำ ผมภาวนาต่อองค์พระอัลเลาะห์ ขอให้พระองค์ทรงเมตตาต่อผู้เสียชีวิตเหล่านั้น ผมขอพระองค์ให้ทรงเมตตาผม พี่ชาย และครอบครัวของผม" โซการ์ กล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้เสียชีวิตก่อนรับโทษประหาร
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตทั้ง 5 เหตุการณ์นี้ และโศกนาฏกรรมอื่นที่ไม่ได้เอ่ยถึง ณ ที่นี้ด้วย.