ข้อมูลของสหประชาชาติและโครงการผู้ตรวจสอบเหตุวิกฤต ชี้ว่า รัฐบาลทหารพม่ายังคงเปิดฉากการโจมตีทางอากาศและการโจมตีด้วยปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะประกาศการหยุดยิง หลังจากเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.7 ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากเมื่อเดือนมีนาคม
ข้อมูลของสหประชาชาติและโครงการผู้ตรวจสอบเหตุวิกฤต ชี้ว่า รัฐบาลทหารพม่ายังคงเปิดฉากการโจมตีทางอากาศและการโจมตีด้วยปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะประกาศการหยุดยิง หลังจากเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.7 ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากเมื่อเดือนมีนาคม
แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในพม่าในรอบหลายทศวรรษ นำมาสู่ความพยายามด้านการบรรเทาทุกข์จากหลายประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้คนหลายแสนคนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง และมีการเรียกร้องจากนานาชาติหลายครั้งให้ยุติการสู้รบ
เมื่อวันที่ 2 เม.ย. กองทัพพม่าได้ประกาศหยุดยิง 20 วัน เพื่อสนับสนุนการบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม ตามการเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันของกลุ่มติดอาวุธ และเมื่อที่ 22 เม.ย. กองทัพพม่ากล่าวว่าการหยุดยิงชั่วคราว ได้รับการขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย. หลังจากการเจรจาระดับสูงในประเทศไทยซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ไม่ได้รับรายงานจากสหประชาชาติระบุว่า การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และการวิเคราะห์ข้อมูลโครงการ Armed Conflict Location & Event Data หรือ ACLED ของรอยเตอร์ พบว่าความถี่ของการโจมตีทางอากาศของรัฐบาลทหารเพิ่มขึ้นตั้งแต่มีการประกาศหยุดยิง เมื่อเทียบกับ 6 เดือนก่อนหน้า
ระหว่างวันที่ 28 มีนาคมถึง 24 เมษายน กองทัพพม่าได้เปิดฉากโจมตีอย่างน้อย 207 ครั้ง รวมถึงการโจมตีทางอากาศ 140 ครั้งและการยิงปืนใหญ่ 24 ครั้ง ตามข้อมูลจากสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งอิงจากรายงานที่ได้รับ มีการโจมตีมากกว่า 172 ครั้ง เกิดขึ้นตั้งแต่มีการหยุดยิง โดย 73 ครั้งเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว
...
เจมส์ โรเดเวอร์ หัวหน้าสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำพม่ากล่าวว่า "ทุกอย่างยังเกิดขึ้นตามปกติ" เขากล่าวว่า "การหยุดยิงควรเกี่ยวข้องกับการหยุดกิจกรรมทางทหารทั้งหมด และปรับเปลี่ยนกองทัพเพื่อสนับสนุนการตอบสนองด้านมนุษยธรรม ซึ่งนั่นยังไม่เกิดขึ้น"
หลังจากหยุดยิงได้สองสัปดาห์ เครื่องบินของทหารได้บินโฉบเหนือหมู่บ้านKan Ma Yaik ในรัฐกะเหรี่ยง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ระหว่างการเฉลิมฉลองปีใหม่ของพม่า และได้ทิ้งระเบิดซึ่งคร่าชีวิตชาวพม่าประมาณ 20 รายรวมถึงหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
ตามข้อมูลที่ ACLED จัดทำขึ้น ในช่วง 6 เดือนก่อนวันที่ 2 เม.ย. กองทัพได้โจมตีด้วยเครื่องบินหรือโดรนเฉลี่ยวันละ 7.6 ครั้ง ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5 คนต่อวัน รวมถึงพลเรือนด้วย ข้อมูลของ ACLED ระบุว่า ระหว่างวันที่ 2 ถึง 18 เม.ย. กองทัพได้โจมตีด้วยเครื่องบินหรือโดรนเฉลี่ยวันละ 9.7 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6 คนต่อวัน นับตั้งแต่มีการประกาศหยุดยิง ในช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของกลุ่มทหารทั้งหมด 105 คน
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่ากลุ่มติดอาวุธโจมตีทางอากาศเพียง 3 ครั้งในช่วงที่มีการหยุดยิง ระหว่างวันที่ 2 ถึง 18 เม.ย. ในทางตรงกันข้าม กองทัพอากาศของพม่ามีเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินโจมตีภาคพื้นดินที่ผลิตโดยจีนและรัสเซีย เฮลิคอปเตอร์โจมตีของรัสเซีย และยานบินไร้คนขับขนาดหนักบางรุ่น ตามรายงานของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษากลยุทธ์เมื่อปีที่แล้ว
ซู มอน นักวิเคราะห์อาวุโสของ ACLED กล่าวว่า นับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหว รัฐบาลพม่าโจมตีทางอากาศในเขตสะกายและรัฐฉาน เพื่อพยายามยึดตำแหน่งทางยุทธศาสตร์คืน รวมถึงในรัฐคะฉิ่น และยะไข่ และกล่าวว่า กองทัพยังคงโจมตีทางอากาศโดยกำหนดเป้าหมายเป็นพลเรือน
ในการประกาศหยุดยิงเมื่อวันที่ 2 และ 22 เม.ย. รัฐบาลพม่ากล่าวว่าจะตอบโต้การกระทำของกลุ่มกบฏหลายรูปแบบ รวมถึงการเกณฑ์ทหารและการขยายดินแดน.
ที่มา Reuters
อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign