อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา เผยว่าเขาจะลดบทบาทในรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ หลังรายได้ของบริษัทลดลงในช่วงสามเดือนแรกของปี โดยกำไรลดลงมากกว่า 70%
อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา เผยว่าเขาจะลดบทบาทในรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ หลังรายได้ของบริษัทลดลงในช่วงสามเดือนแรกของปี โดยกำไรลดลงมากกว่า 70% โดยการที่ยอดขายตกต่ำและแบรนด์ต้องเผชิญกับกระแสตอบรับเชิงลบ เนื่องจากมัสก์ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองในทำเนียบขาว
เมื่อวันอังคาร บริษัทได้รายงานว่ารายได้จากรถยนต์ลดลง 20% ในไตรมาสแรกของปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรลดลงมากกว่า 71% บริษัทได้เตือนนักลงทุนว่าผลกระทบอาจยังคงดำเนินต่อไป โดยปฏิเสธที่จะให้การคาดการณ์การเติบโต ขณะที่กล่าวว่า "ความรู้สึกทางการเมืองที่เปลี่ยนไป" อาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์อย่างมีนัยสำคัญ
การร่วงลงของมูลค่าบริษัทเมื่อเร็วๆ นี้เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบทบาทของมัสก์ในรัฐบาลของทรัมป์ ซึ่งเขายอมรับว่าทำให้เขาละเลยบริษัทไป ทั้งนี้ มัสก์บริจาคเงินมากกว่า 250 ล้านดอลลาร์ ให้กับการหาเสียงเลือกตั้ของทรัมป์ นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้นำโครงการของทรัมป์ในกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เพื่อลดรายจ่ายและลดจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐบาล
มัสก์กล่าวว่า "การจัดสรรเวลาให้กับ DOGE" ของเขาจะ "ลดลงอย่างมาก" เริ่มตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป เขาจะใช้เวลาเพียง 1-2 วันต่อสัปดาห์กับเรื่องของรัฐบาล "ตราบใดที่ประธานาธิบดีต้องการให้เขาทำและตราบใดที่มันมีประโยชน์"
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของเขาก่อให้เกิดการประท้วงและการคว่ำบาตรเทสลาทั่วโลก มัสก์กล่าวโทษการตอบโต้ ต่อผู้คนที่พยายามโจมตีเขาและทีมงาน DOGE แต่เขากล่าวว่างานของเขาที่ DOGE "มีความสำคัญ" และกล่าวว่า "การจัดการบ้านของรัฐบาลให้เข้าที่เข้าทางนั้นเสร็จเกือบหมดแล้ว"
...
เทสลามีรายได้รวม 19,300 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสแรกของปีนี้ ลดลง 9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 21,100 ล้านดอลลาร์ และเกิดขึ้นในขณะที่บริษัทลดราคารถเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ
บริษัทระบุว่าการที่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนยังส่งผลกระทบต่อเทสลาอย่างมาก แม้ว่ารถยนต์ที่เทสลาที่ขายในตลาดสหรัฐฯ จะประกอบในประเทศ แต่ก็ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนหลายชิ้นที่ผลิตในจีน บริษัทระบุว่า "นโยบายการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว" อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเพิ่มต้นทุนได้
รายงานประจำไตรมาสของเทสลาระบุว่า "พลวัตนี้ ร่วมกับความรู้สึกทางการเมืองที่เปลี่ยนไป อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ของเราในระยะใกล้"
มัสก์มีความขัดแย้งในเรื่องการค้ากับบุคคลสำคัญอื่นๆ ในรัฐบาลทรัมป์ รวมถึงนายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เขาเรียกนายนาวาร์โรว่า "คนโง่" จากความคิดเห็นที่เขาเคยพูดเกี่ยวกับเทสลา นาวาร์โรเคยกล่าวว่ามัสก์ "ไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์" แต่เป็น "ผู้ประกอบรถยนต์ในหลายกรณี"
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. มัสก์กล่าวว่าเขาคิดว่าเทสลาเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีน้อยที่สุด เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่นในอเมริกาเหนือ ยุโรป และจีน แต่เขากล่าวเสริมว่าภาษียังคง "ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มีอัตรากำไรต่ำ" เขากล่าวว่า "ผมจะยังคงสนับสนุนให้ภาษีลดลงแทนที่จะเพิ่มภาษี แต่นั่นคือทั้งหมดที่ผมทำได้"
เทสลากล่าวว่าปัญญาประดิษฐ์จะสนับสนุนการเติบโตในอนาคต แม้ว่านักลงทุนจะไม่เชื่อมั่นในข้อโต้แย้งดังกล่าวในอดีตก็ตาม หุ้นของบริษัทลดลงประมาณ 37% ของมูลค่าในปีนี้ ณ เวลาปิดตลาดของวันที่ 22 เม.ย. โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% ในการซื้อขายหลังปิดตลาดหลังจากประกาศผลประกอบการ.
ที่มา BBC
อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign