เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกโรงเตือนว่า มาตรการกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจกระทบเศรษฐกิจอย่างหนัก จนเฟดตกที่นั่งลำบากที่สุดในรอบกว่า 50 ปี
เมื่อวันพุธที่ 16 เม.ย. 2568 นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกโรงเตือนว่าสงครามการค้าอันปั่นป่วนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้เฟดตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่สุดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ
“ระดับการเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้าที่ประกาศออกมาจนถึงตอนนี้นั้น สูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้อย่างมีนัยสำคัญ” นายพาวเวลล์กล่าว ที่งานอีเวนต์ซึ่งจัดโดยชมรมเศรษฐกิจแห่งชิคาโก (Economic Club of Chicago) “เราอาจพบว่าเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ท้าทายที่เป้าหมายหลักทั้งสองของเราอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด”
ทั้งนี้ เป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ คือส่งเสริมให้เกิดอัตราจ้างงานเต็มจำนวน และควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป แต่ภาษีของนายทรัมป์กำลังคุกคามเป้าหมายทั้งสอง แต่ตอนนี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงประคองตัวอยู่ ทำให้เฟดยังสามารถใจเย็นได้บ้าง
นายพาวเวลล์บอกว่า มาตรการที่ดีที่สุดที่เฟดใช้ได้ตอนนี้คือ การรอดูสถานการณ์จนกว่าข้อมูลจะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตอบสนองต่อนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างไร ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของเฟดระบุว่า พวกเขาอาจเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานขึ้นอยู่กับความต้องการของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดกันว่า ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่มาตรการภาษีของนายทรัมป์จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกับอัตราว่างงานของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น และทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอ่อนแอลง โดยหากมาตรการภาษีต่างตอบแทนที่บังคับใช้ชั่วขณะในวันที่ 9 เม.ย. กลับมาบังคับใช้อีกครั้งในเดือนกรกฎาคม
...
จนถึงตอนนี้ นายทรัมป์บังคับใช้มาตรการเก็บภาษีอะลูมิเนียมและเหล็กกล้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ จากทุกประเทศทั่วโลก ในอัตรา 25%, เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาบางรายการ 25%, เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตราสูงถึง 145%, เก็บภาษีรถยนต์ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ 25% และเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานต่อสินค้าจากทั่วโลก 10%
อนึ่ง ในช่วงยุค 70 ถึงต้น 80 เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญช่วงเวลาที่อัตราว่างงานสูง ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวแต่อัตราเงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้นแตะ 2 หลัก ซึ่งสถานการณ์นี้เรียกว่า “stagflation” โดยประธานเฟดในตอนนั้นเลือกที่จะคุมอัตราเงินเฟ้อถึงแม้ว่าจะสร้างความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจบ้างก็ตาม
สถานการณ์ของสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีโอกาสที่จะดำเนินไปในทิศทางนั้น โดยนายพาวเวลล์กล่าวว่า หาก stagflation เกิดขึ้นจริง พวกเขาจะพิจารณาว่าเศรษฐกิจอยู่ห่างจากเป้าหมายทั้งสองมากแค่ไหน และประเมินช่วงเวลาที่ช่องว่างเหล่านั้นคาดว่าจะปิดลง
เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หลายคนบอกก่อนหน้านี้ว่า เฟดควรจับตาความเห็นของประชาชนที่มีต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งตอนนี้กำลังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แต่ยังไม่แน่ชัดว่า เงินเฟ้อต้องเพิ่มขึ้นแค่ไหน จึงจะทำให้เฟดมีความเคลื่อนไหวเพื่อรับมือสถานการณ์ โดยในปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ 2% เล็กน้อย
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cnn