เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยัน มาตรการภาษีล่าสุดของโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถซ้อนทับกับกำแพงภาษีที่ประกาศก่อนหน้านี้ได้ ขณะที่ รมว.คลังเตือนนานาชาติว่าอย่าตอบโต้

เมื่อวันพุธที่ 2 เม.ย. 2568 เจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวบอกกับผู้สื่อข่าวของสำนักข่าว ซีบีเอส ว่า มาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์นั้น ซ้อนทับกันได้ หมายความว่า มาตรการภาษีล่าสุดที่นายทรัมป์เพิ่งประกาศจะสามารถถูกนำไปเพิ่มเติมจากภาษีที่นายทรัมป์เคยบังคับใช้เอาไว้ก่อนหน้านี้ได้

ตัวอย่างเช่น จีนถูกสหรัฐฯ ตั้งภาษีต่างตอบแทน (reciprocal tariff) เอาไว้ที่ 34% และมันจะถูกนำไปเพิ่มกับภาษี 20% ที่นายทรัมป์บังคับใช้เอาไว้ก่อนหน้านี้ หมายความว่า จีนจะถูกตั้งกำแพงภาษีในอัตราสูงถึง 54% เว้นแต่สหรัฐฯ จะละเว้นสินค้าบางประเทศตามมาตรา 232 ที่ไม่ให้เก็บภาษีสินค้านำเข้าบางอย่างเช่น เหล็กกล้ากับอะลูมิเนียม เกิน 25%

คำสั่งฝ่ายบริหารล่าสุดของนายทรัมป์ระบุเอาไว้ด้วยว่า จะมีสินค้าบางอย่างที่ได้รับการยกเว้นจากกำแพงภาษีของเขา เช่น ชิ้นส่วนที่ทำจากเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม, ทองแดง, ยา, ชิปเซมิคอนดักเตอร์, ผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูป, เงินหรือทองแท่ง และพลังงานกับแร่ธาตุบางอย่างที่ไม่มีในสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน นายสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ออกมาเตือนประเทศต่างๆ ไม่ให้ตอบโต้มาตรการภาษีล่าสุดของโดนัลด์ ทรัมป์

“ผมขอแนะนำต่อทุกประเทศในตอนนี้ว่า อย่าตอบโต้” นายเบสเซนต์บอกกับสำนักข่าว ฟ็อกซ์ นิวส์ “นั่งลงแล้วรับมันไว้ แล้วดูว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะหากคุณตอบโต้ ก็จะมีการปรับอัตราให้สูงขึ้น แต่หากคุณไม่ตอบโต้ ตัวเลขนี้ก็จะเป็นจุดสูงสุด”

ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว ลงนามบังคับใช้มาตรการเก็บ "ภาษีพื้นฐาน" (baseline tariff) ในอัตรา 10% ต่อสินค้าทั้งหมดจากทุกประเทศที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ โดยจะเริ่มในเสาร์ที่ 5 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่น

...

นอกจากนั้น นายทรัมป์ยังประกาศจะเก็บ "ภาษีต่างตอบแทน" (reciprocal tariff) ต่อหลายสิบประเทศ ที่สหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้าด้วยมากที่สุด โดยจะเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากประเทศเหล่านี้ในอัตราครึ่งหนึ่ง จากอัตราภาษีที่ประเทศเหล่านี้ตั้งไว้ต่อสินค้าจากสหรัฐฯ จะเริ่มในวันที่ 9 เม.ย.ตามเวลาท้องถิ่น

ไทยเป็นหนึ่งในหลายสิบประเทศที่จะถูกเก็บภาษีต่างตอบแทน โดยจะถูกเก็บในอัตรา 36%

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : bbc