มาเลเซียจับมือกับบริษัทเอกชนจากอังกฤษ เริ่มการค้นหาเครื่องบินโดยสาร MH370 ที่หายสาบสูญอีกครั้ง ก่อนที่วันครบรอบ 11 ปีจะมาถึงในสัปดาห์หน้า
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “โอเชียน อินฟินิตี” (Ocean Infinity) บริษัทเอกชนซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการใช้หุ่นยนต์สำรวจทางทะเล เริ่มการค้นหาเครื่องบินโดยสาร MH370 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส รอบใหม่แล้ว หลังจากเครื่องบินลำนี้หายไปอย่างเป็นปริศนาเมื่อเกือบ 11 ปีก่อน
นายแอนโทนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย บอกกับผู้สื่อข่าวในวันอังคารที่ 25 ก.พ. 2568 ว่า รายละเอียดสัญญาระหว่างมาเลเซียกับ โอเชียน อินฟินิตี กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย แต่ทางมาเลเซียยินดีในความกระตือรือร้นของ โอเชียน อินฟินิตี ที่ส่งเรือมาเริ่มการค้นหา
นายโลคเสริมว่า พวกเขายังไม่ได้เจรจารายละเอียดว่าการค้นหาจะดำเนินไปนานเท่าใด แต่เขาไม่เปิดเผยว่า บริษัทเอกชนจากอังกฤษรายนี้เริ่มการค้นหาเมื่อใด
ทั้งนี้ เครื่องบินโดยสาร โบอิ้ง 777 เที่ยวบินที่ MH370 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส กับผู้โดยสารและลูกเรือ 239 ชีวิต หายไปจากจอเรดาร์ในวันที่ 8 มี.ค. 2557 ระหว่างเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียไปยังกรุงปักกิ่งของจีน
หลังจากนั้น นานาชาตินำโดยออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ใกล้กับน่านน้ำที่คาดว่าเครื่องบินลำนี้ตกลงไปมากที่สุด ก็เริ่มปฏิบัติการค้นหาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน กินระยะเวลานานถึง 3 ปี ครอบคลุมพื้นที่ 46,300 ตารางไมล์ในมหาสมุทรอินเดีย แต่พบเพียงชิ้นส่วนไม่กี่ชิ้น ก่อนที่การค้นหาจะถูกยกเลิกในเดือนมกราคม 2560
ต่อมาในปี 2561 บริษัท โอเชียน อินฟินิตี ทำสัญญากับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อออกค้นหา MH370 ที่หายสาบสูญไปเป็นเวลา 6 เดือน แต่ก็ไม่พบ
...
หลังจากนั้น การค้นหาก็หยุดชะงักไปหลายปีจนกระทั่งในเดือนธันวาคม 2567 รัฐบาลมาเลเซียออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาเห็นชอบที่จะเริ่มการค้นหาเครื่องบิน MH370 รอบใหม่แล้ว โดยทำสัญญามูลค่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับบริษัท โอเชียน อินฟินิตี เป็นระยะเวลา 18 เดือน โดยโอเชียน อินฟินิตี ยื่นข้อเสนอแบบเดียวกับการค้นหาครั้งก่อน คือ “ไม่เจอไม่ต้องจ่าย”
นายโลคบอกในเดือนธันวาคมว่า การค้นหาจะเกิดขึ้นในพื้นที่ใหม่ขนาด 5,800 ตารางไมล์ ในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเลือกโดยดูจากข้อมูลล่าสุดและผลการวิเคราะห์ข้อมูลของบรรดาผู้เชี่ยวชาญกับนักวิจัย
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : cbsnews