- แอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ ต้นทุนต่ำสัญชาติจีนที่ชื่อ ดีพซีค (DeepSeek) เป็นของบริษัทสตาร์ทอัปในเมืองหางโจวของจีน มียอดดาวน์โหลดสูงในสหรัฐฯ เพราะมีประสิทธิภาพสูงเทียบเคียงกับบริษัทรายใหญ่ในสหรัฐซึ่งเป็นผู้นำด้านเอไอในขณะนี้ แม้ว่าใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีและต้นทุนที่ต่ำกว่าเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ หรือราว 220 ล้านบาท บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญ มองกันว่า จีนพัฒนาเทคโนโลยีนี้ออกมาได้ดีกว่า รวดเร็วกว่า และต้นทุนต่ำกว่าสหรัฐฯ อย่างมาก
- "เหลียง เหวินเฟิง" ผู้ก่อตั้ง DeepSeek สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง หลังจากนั้นในปี 2015 เหลียงและเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกสองคนจากมหาวิทยาลัย ได้ก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงเชิงปริมาณที่ชื่อว่า High-Flyer โดยเว็บไซต์ระบุว่า "กองทุนนี้ใช้คณิตศาสตร์และ AI ในการลงทุนเชิงปริมาณ" ในกลยุทธ์การซื้อขายเพื่อคาดการณ์แนวโน้มของตลาดและช่วยในการตัดสินใจลงทุน
- เหลียงได้เผยถึงเป้าหมายของ DeepSeek ว่าหลายปีที่ผ่านมา บริษัทจีนมักใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาจากต่างประเทศมาประยุกต์เพื่อสร้างรายได้ แต่นี่ไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืน เป้าหมายครั้งนี้คือการขับเคลื่อนขอบเขตเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าเพื่อสร้างการเติบโตของระบบนิเวศ ไม่ใช่แค่การแสวงหากำไรระยะสั้น
แอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ ต้นทุนต่ำสัญชาติจีนที่ชื่อ ดีพซีค (DeepSeek) เป็นของบริษัทสตาร์ทอัปในเมืองหางโจวของจีน มียอดดาวน์โหลดสูงในสหรัฐฯ เพราะมีประสิทธิภาพสูงเทียบเคียงกับบริษัทรายใหญ่ในสหรัฐซึ่งเป็นผู้นำด้านเอไอในขณะนี้ แม้ว่าใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีและต้นทุนที่ต่ำกว่าเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ หรือราว 220 ล้านบาท บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญ มองกันว่า จีนพัฒนาเทคโนโลยีนี้ออกมาได้ดีกว่า รวดเร็วกว่า และต้นทุนต่ำกว่าสหรัฐฯ อย่างมาก
...
ขณะที่ "เหลียง เหวินเฟิง" ผู้ก่อตั้ง DeepSeek อาจไม่ตรงกับโปรไฟล์ของบรรดาผู้บุกเบิกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่คนทั่วไปมักจินตนาการกัน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI พูดง่ายๆ ก็คือเขาไม่ใช่ผู้ประกอบการในซิลิคอน วัลเลย์
เหลียงเติบโตมาใน "เมืองระดับห้า" ในมณฑลกวางตุ้ง ในช่วงทศวรรษ 1980 เขากล่าวในบทสัมภาษณ์ฉบับแปลเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ที่เผยแพร่ในเดือนนี้ ส่วนพ่อของเขาเป็นครูโรงเรียนประถมศึกษา เขาได้รับปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และได้รับการจัดอันดับดีที่สุดของจีน
เหลียงเข้าสู่วงการด้านการเงิน หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ในปี 2015 เหลียงและเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกสองคนจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ได้ก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงเชิงปริมาณที่ชื่อว่า High-Flyer โดยเว็บไซต์ระบุว่า "กองทุนนี้ใช้คณิตศาสตร์และ AI ในการลงทุนเชิงปริมาณ" ในกลยุทธ์การซื้อขายเพื่อคาดการณ์แนวโน้มของตลาดและช่วยในการตัดสินใจลงทุน
ตามรายงานของไฟแนนเชียล ไทมส์ ขาเริ่มซื้อหน่วยประมวลผลกราฟิกส์ของ Nvidia หลายพันตัวในปี 2021 ก่อนที่ฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะเริ่มจำกัดการส่งออกชิป AI ของสหรัฐฯ ไปยังจีน โดยเป็นโปรเจ็กต์เสริมด้าน AI ในเวลานั้น โดยคนที่รู้จักเขามองว่าเป็นงานอดิเรกแปลกๆ ที่ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้เติบโตใดๆ ได้
หุ้นส่วนทางธุรกิจรายหนึ่งของเหลียง กล่าวกับไฟแนนเชียล ไทมส์ ว่า "เมื่อเราพบเขาครั้งแรก เขาเป็นผู้ชายเนิร์ดที่มีทรงผมแย่มาก ที่พูดถึงการสร้างคลัสเตอร์ 10,000 ชิปเพื่อฝึกโมเดลของเขาเอง เราไม่ได้จริงจังอะไรกับเขามากนัก" "เขาไม่สามารถแสดงวิสัยทัศน์ของเขาได้นอกจากพูดว่า 'ผมอยากสร้างสิ่งนี้ และมันจะเปลี่ยนทุกอย่าง' เราคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปได้ เฉพาะจากบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น ไบต์แดนซ์ และ อาลีบาบา เท่านั้น"
จากนั้นเขาก็เริ่ม DeepSeek ในปี 2023 โดยตั้งเป้าที่จะพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป หรือระดับของ AI ที่เทียบเท่ากับสติปัญญาของมนุษย์
ปัจจุบัน DeepSeek กำลังส่งผลกระทบต่อหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากการพัฒนา AI ล้ำสมัยด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวของต้นทุนที่คู่แข่งอย่าง OpenAI และกูเกิล ใช้จ่ายนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ที่จัดไว้สำหรับการลงทุนในภาคส่วนนี้และที่อื่นๆ
ในการซื้อขายเมื่อวันที่ 27 ม.ค. หุ้นของ Nvidia ร่วงลง 17% ส่งผลให้เกิดการเทขายหนักจนสูญเสียมูลค่าไปแล้วเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 20 ล้านล้านบาท และหุ้นของบริษัทชั้นนำอื่นๆ รวมถึงเมตา (META) เจ้าของเฟซบุ๊กลดลง ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ร่วงลง 3% และ S&P 500 ร่วงลง 1.8% หลังจากที่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่เรียกว่า Magnificent Seven ได้ผลักดันให้หุ้นของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก หลังจากการเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI ในช่วงปลายปี 2022 ที่จุดประกายให้เกิดกระแส AI บูมขึ้น
...
บริษัทที่อยู่นอกวงการเทคโนโลยีก็เติบโตด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้ก็ต้องเผชิญผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยหุ้นของ Constellation Energy ซึ่งได้รับประโยชน์จากศูนย์ข้อมูล AI ที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาล ร่วงลง 20%
"ป้อมปราการของ DeepSeek" ตามคำกล่าวของ Liang
แม้ว่าในตอนแรก DeepSeek จะถูกมองว่าเป็นโปรเจ็กต์เสริม แต่เหลียง วัย 40 ปีกลับมีส่วนร่วมกับบริษัทและการวิจัยด้วยตัวเอง ตามคำกล่าวของไฟแนนเชียล ไทมส์
เขายังทุ่มเทเพื่อทำให้ DeepSeek เป็นผู้นำในท้องถิ่นด้าน AI โดยคัดเลือกบุคลากรจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนและจ่ายเงินให้เป็นจำนวนมากในระดับเดียวกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในท้องถิ่น เช่น บริษัทแม่ของ TikTok อย่างไบต์แดนซ์
ในการสัมภาษณ์กับ Waves ในเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งตีพิมพ์ซ้ำใน China Academy เหลียงได้อธิบายถึงความทะเยอทะยานบางส่วนของเขาสำหรับ DeepSeek และกลยุทธ์ AI โดยรวมของจีน
"เป็นเวลาหลายปีที่บริษัทจีนคุ้นเคยกับการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในที่อื่นและสร้างรายได้จากนวัตกรรมเหล่านั้นผ่านแอปพลิเคชัน" เขากล่าว "แต่สิ่งนี้ไม่ยั่งยืน ในครั้งนี้ เป้าหมายของเราไม่ใช่ผลกำไรอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการก้าวหน้าในแนวเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของระบบนิเวศ"
เขายอมรับว่านวัตกรรมนี้ต้องการเงินทุนจำนวนมาก และกล่าวว่าก่อนหน้านี้จีนนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา
แต่ตอนนี้ไม่ใช่กรณีนั้น เนื่องจากไบต์แดนซ์ และเท็นเซนต์ ได้กลายเป็นผู้เล่นระดับโลกและสร้างกำไรมหาศาล
เหลียงกล่าวว่า "สิ่งที่เราขาดไม่ใช่เงินทุน แต่เป็นความมั่นใจและความสามารถในการจัดระเบียบบุคลากรที่มีคุณภาพสูงเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีประสิทธิผล"
...
โมเดลโอเพนซอร์สของ DeepSeek มีความแตกต่างจากของ OpenAI แต่เขาไม่ได้ถือว่าการแบ่งปันความก้าวหน้าของบริษัทเป็นข้อเสียเปรียบ
เหลียงกล่าวเสริมว่าการนำแบบจำลองซอร์สปิดมาใช้จะไม่สามารถป้องกันคู่แข่งไม่ให้ตามทันได้ และการเป็นโอเพนซอร์สยังช่วยเพิ่มความได้เปรียบอีกด้วย
"ดังนั้น ป้อมปราการที่แท้จริงของเราจึงอยู่ที่การเติบโตของทีมของเรา นั่นก็คือการสะสมความรู้ การส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม" เขากล่าวอธิบาย "โอเพ่นซอร์สและการเผยแพร่เอกสารไม่ได้ส่งผลให้เกิดการสูญเสียที่สำคัญ สำหรับนักเทคโนโลยี การได้รับการติดตามถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า โอเพ่นซอร์สเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่เชิงพาณิชย์ การตอบแทนถือเป็นเกียรติ และยังดึงดูดผู้มีความสามารถอีกด้วย"
นวัตกรรมเป็นเรื่องของความเชื่อ
เหลียงยังได้อธิบาย DeepSeek ว่าเป็นบริษัทที่บริหารจัดการแบบล่างขึ้นบน ซึ่งเกิดการแบ่งงานกันเองโดยไม่มีบทบาทที่กำหนดไว้ล่วงหน้าหรือลำดับชั้นที่เข้มงวด ซึ่งช่วยให้ทำงานร่วมกันได้อย่างอิสระ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีแนวคิดที่มีศักยภาพ ฝ่ายบริหารจะจัดสรรทรัพยากรจากบนลงล่าง
นอกจากนี้ DeepSeek ยังไม่กำหนดข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์หรือบุคลากร เขากล่าวเสริมว่าใครก็ตามที่มีแนวคิดดีๆ สามารถใช้ประโยชน์จาก "คลัสเตอร์การฝึกอบรม" ได้ทุกเมื่อ แม้แต่ห้องประชุมก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างบังเอิญระหว่างเพื่อนร่วมงานและการเชื่อมโยงเชิงสร้างสรรค์
"ผมเชื่อว่านวัตกรรมเป็นเรื่องของความเชื่อเป็นอันดับแรก" เขากล่าวต่อว่า "ทำไมซิลิคอนวัลเลย์จึงสร้างสรรค์มากขนาดนั้น เพราะพวกเขากล้าที่จะลอง เมื่อ ChatGPT เปิดตัว จีนขาดความเชื่อมั่นในงานวิจัยแนวหน้า ตั้งแต่ผู้ลงทุนไปจนถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ หลายคนรู้สึกว่าช่องว่างนั้นกว้างเกินไปและมุ่งเน้นไปที่การใช้งานแทน แต่การสร้างนวัตกรรมต้องการความมั่นใจ และคนรุ่นใหม่มักจะมีความมั่นใจมากกว่า"
...
ที่มา Fortune Business Insider
อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign