กระบวนการเปลี่ยนผ่านอำนาจการเมืองสหรัฐอเมริกากำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก ภายหลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ช็อกกองเชียร์เดโมแครต

ทุกฝ่ายต่างลุ้นจับตาว่าแดนพญาอินทรีจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน นับตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.2568 ที่ทรัมป์มีกำหนดสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำดับที่ 47 อย่างเป็นทางการ

กระนั้น ทิศทางก็ทยอยปรากฏออกมาแล้ว หลังจากว่าที่ผู้นำทรัมป์ประกาศ “ความตั้งใจ” ผ่านคลิปวิดีโอที่ปล่อยออกมาเป็นซีรีส์ ว่าวันแรกที่เข้าทำเนียบขาวจะดำเนินการสิ่งใด ภายใต้ชื่อรหัส “Agenda 47” ซึ่งในความเป็นจริงทีมหาเสียงทรัมป์พยายามที่จะเปิดตัววาระเหล่านี้มาตั้งแต่
เดือน ก.ย. แต่ถูกแบนจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียบางส่วน ทั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นแนวทางของเผด็จการและฟาสซิสต์

แน่นอนว่า ในเมื่อชนะอย่างขาวสะอาดและขาดลอยแล้ว แนวทางเหล่านี้จึงถูกนำกลับมาเผยแพร่อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่การประกาศแผนการที่จะคุ้มครองเยาวชนจากแนวคิดเพศสภาพ ระบุว่าทุกวันนั้นกลุ่มฝ่ายซ้ายเสรีนิยมมีความพยายามอย่างหนักและต่อเนื่องในการยัดเยียดเรื่องเพศสภาพให้แก่เด็กๆที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ทรัมป์ประกาศที่จะยกเลิกนโยบายของรัฐบาลเดโมแครตชุดที่แล้ว ยุติการอนุญาตให้ใช้ฮอร์โมนยับยั้งการเจริญพันธุ์ และการผ่าตัดแปลงเพศเด็กเล็ก พร้อมสั่งการให้หน่วยงานรัฐทั้งหมดระงับโครงการใดๆที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมเรื่องเพศสภาพและการแปลงเพศ ตามด้วยการเปิดทางให้กลุ่มคนที่ตกเป็นเหยื่อ ดำเนินการฟ้องร้องบรรดาแพทย์ที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศเยาวชนที่ไม่บรรลุนิติภาวะ

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประกาศว่าจะสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมเปิดการสอบสวนบริษัทยายักษ์ใหญ่รวมถึงเครือข่ายโรงพยาบาลในสหรัฐฯว่า ตั้งใจปกปิดข้อมูลวิชาการในเรื่องการแปลงเพศว่าส่งผลกระทบในระยะยาวเช่นไร เพียงเพื่อที่จะกอบโกยกำไรจากธุรกิจเพศสภาพที่ผู้ป่วยมีความเปราะบางสูง

...

เช่นเดียวกับการให้กระทรวงศึกษาธิการแจ้งเตือนไปยังโรงเรียนต่างๆ ว่าหากมีการสอน แนะนำให้เด็กเข้าใจผิดๆในเรื่อง “เพศสภาพ” ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการถูกตัดงบประมาณ และในการนี้จะผลักดันให้สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายว่า เพศสภาพมีเพียงหญิงและชายซึ่งมีความพิเศษในตัวเอง พร้อมขัดขวางการให้บุคคลที่มีเพศชายโดยกำเนิดเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากับเพศหญิง เพื่อที่ความบ้าคลั่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะยุติลงเสียที

ตามด้วยประเด็นการศึกษาที่จะดำเนินการจัดการสถาบันการศึกษาที่ส่งเสริมแนวคิด DEI–ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม รวมถึงตัดงบประมาณสถาบันที่ยัดเยียดความคิดเรื่องการเลือกปฏิบัติทางผิวสี และเพศสภาพ จากที่เกิดกรณีเยาวชนเชื้อสายเอเชียอเมริกันคะแนนสูงถูกกีดกันไม่ให้เข้าเรียน เพื่อเปิดทางให้แก่โควตาเยาวชนบางกลุ่มเชื้อชาติที่มีผลคะแนนการศึกษาที่ต่ำกว่า

สำหรับปัญหาผู้อพยพข้ามพรมแดน ทรัมป์ประกาศว่าจะยับยั้งการใช้งบประมาณรัฐเข้าช่วยเหลือคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงระงับการจัดสรรที่พักพิงแก่ผู้อพยพตามบ้านเรือนในชุมชน และการไม่อนุญาตให้ผู้อพยพผิดกฎหมายทำงานในสหรัฐฯ ทั้งยังมีความตั้งใจที่จะใช้อำนาจประธานาธิบดีออกคำสั่งระงับการมอบสัญชาติอเมริกันแก่บุตรของผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่ถือกำเนิดในสหรัฐฯ

ในเรื่องนี้ยังรวมไปถึงแผนการยุติการท่องเที่ยวเพื่อการคลอดบุตร หรือการที่คนต่างชาติจะเดินทางมายังสหรัฐฯช่วงใกล้คลอด เพื่อที่ลูกจะได้รับสิทธิการเป็นพลเมืองอเมริกันโดยอัตโนมัติ มองว่าเด็กที่สมควรได้รับสิทธิควรมีบิดาหรือมารดาที่เป็นชาวอเมริกัน และเด็กที่พ่อแม่เป็นคนต่างด้าวทั้งคู่ไม่สมควรได้รับอะไรไม่ว่าจะเป็นพาสปอร์ต เลขประกันสังคม สวัสดิการรัฐ หรือสิทธิในการลงคะแนน เสียงเลือกตั้ง

ส่วนประเด็นความมั่นคงนั้น ว่าที่ผู้นำยังประกาศว่า สหรัฐฯมีความจำเป็นในการยับยั้งสงครามโลกครั้งที่ 3 พร้อมบรรลุสันติภาพด้วยการ “ล้างบาง” เก็บกวาดคนที่มีแนวคิดฝักใฝ่สงครามภายในกระทรวงกลาโหมเพนตากอน กระทรวงการต่างประเทศ อุตสาหกรรมความมั่นคง ไปจนถึงเหล่า “Deep State” (ดีปสเตท) ซึ่งหมายถึงกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการเมืองในประเทศและการเมืองระดับโลก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯได้มีการส่งอาวุธจำนวนมากไปยังยุโรป จนคลังแสงและงบประมาณร่อยหรอ ทั้งสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหากับชาติที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างรัสเซีย สิ่งแรกที่ต้องการจะทำหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีคือ การดำเนินนโยบาย ต่างประเทศตามแนวคิด “อเมริกามาก่อน” พร้อมมองยุโรปตะวันออกว่าเป็นภูมิภาคที่มีสันติภาพและเสถียรภาพ จำเป็นต้องยับยั้งการฆ่าฟันในทันที แม้ว่าสภาพความเป็นจริงในตอนนี้จะมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมหาศาล มากกว่าตัวเลขที่ได้รับการเปิดเผยจากทางการ

สถานการณ์ ณ เพลานี้ คือการทุ่มงบประมาณความมั่นคงอย่างเกินตัว ที่ผ่านมารัฐบาลชุดก่อนใช้งบประมาณช่วยเหลือยูเครนไปแล้วกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 6.8 ล้านล้านบาท ขณะที่ยุโรปใช้งบประมาณไปเพียงแค่ส่วนเสี้ยวด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า จำเป็นต้องไปบอกให้สหภาพยุโรป “ชำระเงินคืนมา” สำหรับค่าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สหรัฐฯส่งไปให้ยูเครน และเพื่อเติมคลังแสงของสหรัฐฯให้กลับมาอยู่ให้ระดับที่สมควร

สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างแนวคิดของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งบางส่วน มีความสุดโต่งอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน จึงกลายเป็นคำถามสำคัญว่า จะทำได้จริงมากน้อยเพียงใดภายในระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปี หรือเอาเข้าจริงแล้ว...จะได้ทำหรือไม่เพราะการแตะโครงสร้างอำนาจ และกลุ่มนายทุนยักษ์ใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเอาเสียเลย!?

...

วีรพจน์ อินทรพันธ์

คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม