ทิม วอลซ์ กับ เจ.ดี. แวนซ์ แคนดิเดตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิเบตกันครั้งแรก โดยทั้งคู่สนทนาการอย่างควบคุมอารมณ์ และทำได้ดีในพื้นที่ของตัวเอง
เมื่อคืนวันอังคารที่ 1 ต.ค. 2567 ตามเวลาสหรัฐฯ เจ.ดี. แวนซ์ แคนดิเดตชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน และนาย ทิม วอลซ์ แคนดิเดตจากพรรคดเดโมแครต ดีเบตกันเป็นครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งเดียวก่อนที่ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จะมาถึงในวันที่ 5 พ.ย.นี้
การโต้อภิปรายของทั้งคู่เป็นไปอย่างอดทนอดกลั้น ต่างจากการดีเบตของแคนดิเดตประธานาธิบดี 2 ครั้งที่ผ่านมา โดยพวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของการโต้อภิปราย 90 นาที ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งจัดโดย CBS News ไปกับการโจมตี คามาลา แฮร์ริส กับโดนัลด์ ทรัมป์ มากกว่าคู่สนทนา
โดยนายวอลซ์เริ่มต้นได้ทุลักทุเลกว่า แต่เริ่มกลับมาได้เมื่อพูดถึงประเด็นเรื่องการทำแท้ง และการก่อจลาจลที่อาคารรัฐสภา แต่การดีเบตที่เน้นหนักเรื่องนโยบาย และมีการโจมตีทางการเมืองไม่มากนักเช่นนี้ ดูจะเข้าทางนาย แวนซ์ ซึ่งเป็นนักพูดมากประสบการณ์มากกว่า
มีบางช่วงที่แคนดิเดตฝ่ายรีพับลิกันไม่พอใจการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ 2 ผู้ดำเนินรายการของ CBS ที่เขามองว่าไม่ยุติธรรม และ ณ จุดหนึ่ง ไมโครโฟนของแคนดิเดตทั้ง 2 คนต้องถูกปิดชั่วคราว แต่โดยรวมแล้ว ทั้งคู่ต่างควบคุมอารมณ์ได้ดีขณะอยู่บนเวที
และมีหลายครั้งที่ชายทั้งสองคนเห็นตรงกันในบางประเด็น และพูดยอมรับออกมา นอกจากนั้นยังแสดงความเห็นใจในปัญหาของอีกฝ่ายด้วย
บรรยากาศสงบ ขัดแย้งเป็นบางครั้ง
ประเด็นที่นายแวนซ์กับนายวอลซ์ขัดแย้งกันมากที่สุดเกิดขึ้นในช่วงท้ายของการดีเบต คือเรื่องที่นายทรัมป์กล่าวอ้างอย่างไม่เป็นความจริงซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เขาถูกปล้นชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2563 ไป โดยนายแวนซ์เลี่ยงไม่ตอบเมื่อถูกถามว่า นายทรัมป์แพ้การเลือกตั้งครั้งก่อนหรือไม่ แต่โต้ตอบด้วยเรื่องที่แฮร์ริสเคยพูดว่า จะปิดบัญชีทวิตเตอร์ของนายทรัมป์
...
นายวอลซ์ตอบโต้ทันที ว่านายแวนซ์ไม่ยอมตอบคำถามแล้วว่า “การปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 ม.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือใครก็ตามพยายามคว่ำผลการเลือกตั้งนั้น ต้องหยุดลง” “การทำเช่นนี้กำลังฉีกประเทศของเราเป็นชิ้นๆ”
ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาพูดต่อว่า เหตุผลเดียวที่ ไมค์ เพนซ์ อดีตรองประธานาธิบดีของนายทรัมป์ไม่อยู่บนเวที เป็นเพราะเขารับรองชัยชนะของ โจ ไบเดน ซึ่งนายแวนซ์ไม่ตอบในเรื่องนี้
2 สไตล์ที่แตกต่าง
นายแวนซ์กับนายวอลซ์ มาร่วมการดีเบตครั้งนี้ด้วยทักษะที่แตกต่างกัน นายแวนซ์เคยรับมือกับผู้สื่อข่าวมาอย่างโชกโชน ส่วนนายวอลซ์ใช้บุคคลิกบ้านๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับนักการเมืองมากประสบการณ์ทั่วไป
ในช่วงแรกของการดีเบต นายแวนซ์ดูจะพูดได้อย่างสบายใจกว่ามาก เขาตอบคำถามลื่นไหล ตรงไปตรงมาในสิ่งที่ต้องการจะสื่อ พร้อมย้ำเตือนผู้ชมเป็นพักๆ เรื่องสัญญาที่รองประธานาธิบดี แฮร์ริสให้ไว้หากชนะเลือกตั้ง ทั้งที่เดโมแครตครองทำเนียบขาวมานานกว่า 3 ปีครึ่งแล้ว
“หากคามาลา แฮร์ริส มีแผนการยิ่งใหญ่เพื่อแก้ปัญหาของชนชั้นกลาง เธอก็ควรทำมันไปแล้ว” นายแวนซ์กล่าว
ด้านนายวอลซ์ ดูเหมือนจะยังไม่มั่นใจในกระแสสังคม เขาเลี่ยงไม่ตอบคำถามตรงๆ เรื่องที่อิหร่านยิงมิสไซล์โจมตีอิสราเอล และคำถามว่าอิสราเอลควรสามารถโจมตีอิหร่านหรือไม่ เขายังแทบไม่พูดถึงนโยบายต่างประเทศ และแสดงความอึดอัดในประเด็นเหล่านี้อย่างชัดเจน
ทำได้ดีเรื่องผู้อพยพ
แต่ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตาเริ่มปรับตัวได้หลังการโต้อภิปรายดำเนินไป และระหว่างการตอบโต้กับนายแวนซ์เรื่องผู้อพยพ ซึ่งเป็นจุดแข็งของฝั่งรีพับลิกัน ทั้งคู่ก็สามารถสื่อสารออกมาได้เป็นอย่างดี
โดยนายแวนซ์ปัดข้อครหาที่ว่า เขาทำให้คำกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงว่า ผู้อพยพชาวเฮติในรัฐโอไฮโอ ขโมยของ และกินสัตว์เลี้ยง ขยายตัวมากขึ้น “คนที่ผมห่วงที่สุดในเมืองสปริงฟีลด์ รัฐโอไฮโอ คือ พลเมืองชาวอเมริกันที่ชีวิตถูกทำลายด้วยนโยบายชายแดนของคามาลา แฮร์ริส”
นายแวนซ์ย้ำว่า ผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายกำลังเป็นภาระต่อทรัพยากรของเมือง ผลักดันราคาสินค้าและกดรายได้ให้ต่ำลง
ส่วนนายวอลซ์ชี้ไปที่เรื่องที่นายทรัมป์ต่อต้านร่างกฎหมายผู้อพยพฉบับใหม่ ที่ 2 พรรคร่างร่วมกันและเสนอต่อสภาเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา “ผมเชื่อว่า สว.แวนซ์ต้องการแก้ปัญหานี้ แต่การยืนเคียงข้าง โดนัลด์ ทรัมป์ และไม่ทำงานร่วมกันเพื่อหาทางออก มันจะกลายเป็นการโต้เถียง และเมื่อมันกลายเป็นการโต้เถียงแบบนี้ เท่ากับเรากำลังลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ และทำให้มนุษย์คนอื่นกลายเป็นผู้ร้าย”
แวนซ์ตั้งรับเรื่องการทำแท้ง
เมื่อพูดถึงเรื่องสิทธิในการทำแท้ง ซึ่งเป็นจุดแข็งของฝ่ายเดโมแครต นายแวนซ์ตกเป็นฝ่ายตั้งรบ ถึงขั้นยอมรับว่า รีพับลิกันต้องทำมากกว่านี้ เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจในประเด็นนี้จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกัน
“ผมอยากให้พวกเรา ในฐานะพรรครีพับลิกัน เป็นผู้สนับสนุนสถาบันครอบครัว แบบตรงตามตัวอักษรทุกประการ” นายแวนซ์กล่าว “ผมอยากให้เราทำให้บรรดาแม่ทั้งหลายมีและเลี้ยงดูบุตรได้ง่ายขึ้น มีอีกหลายอย่างที่เราสามารถทำได้ในด้านนโยบายสาธารณะนี้ เพื่อให้ผู้หญิงมีทางเลือกมากขึ้น”
ขณะที่นายวอลซ์โต้กลับว่า มุมมองเกี่ยวกับการทำแท้งของเดโมแครตนั้นเรียบง่ายมาก “เราคือผู้สนับสนุนสตรี เราสนับสนุนเสรีภาพให้พวกคุณสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”
สงวนท่าทีเรื่องอาวุธปืน
นายวอลซ์ไม่มีการจู่โจมใดๆ เพื่อประเด็กคำถามเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอาวุธปืน โดยหลังจากนายแวนซ์พูดถึงความสำคัญในการเพิ่มความปลอดภัยในโรงเรียน และทำให้ประตูหน้าต่างแข็งแกร่งขึ้น นายวอลซ์ก็พูดเรื่องการตรวจสอบภูมิหลังของผู้ซื้อปืน แทนที่จะชูเรื่องการแบนอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจมและตั้งข้อจำกัดอื่นๆ ซึ่งเดโมแครตผลักดัน
...
ที่ผ่านมา นายวอลซ์โหวตสนับสนุนสิทธิ์ในการครอบครองปืนของชาวอเมริกัน และคัดค้านมาตรการควบคุมอาวุธปืนหลายครั้ง จนได้รับคำชมจากสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (NRA) กลุ่มผู้สนับสนุนอาวุธปืนกลุ่มใหญ่ของสหรัฐฯ
ระหว่างการดีเบต นายวอลว์กล่าวว่า มุมมองเรื่องการควบคุมอาวุธปืนของเขาเปลี่ยนไป หลังจากเหตุกราดยิงที่โรงเรียน แซนดี ฮุก เมื่อปี 2555 แต่สมาชิกเดโมแครตหลายคนอาจผิดหวังที่เขาไม่กดดันในแวนซ์ในประเด็นนี้มากกว่านี้
สรุปใครชนะ?
CBS News ได้จัดการสำรวจความคิดเห็นของผู้ชมการโต้อภิปรายของแคนดิเดตรองประธานาธิบดีทั้งสองคน โดยพบว่า นายแวนซ์ชนะการดีเบตครั้งนี้ไปอย่างเฉียดฉิวที่ 42% ต่อ 41% ขณะที่อีก 17% ให้เสมอ
ผู้ชมส่วนใหญ่ถึง 88% มองการดีเบตครั้งนี้ไปในทางบวก และส่วนใหญ่มองว่าสิ่งที่ผู้สมัครทั้งสองคนพูดนั้น มีเหตุผล (วอลซ์ 74% แวนซ์ 65%) ไม่ได้สุดโต่งเกินไป ผู้ชมยังมองว่า นายวอลซ์มีความพร้อมที่จะเป็นประธานาธิบดีในยามจำเป็นมากกว่านายแวนซ์ อย่างไรก็ตาม CBS News ย้ำว่า ผู้ชมในคืนนี้เป็นฝ่ายเดโมแครตมากกว่ารีพับลิกัน
ในด้านนโยบายต่างๆ นายวอลซ์ชนะในเรื่องการทำแท้ง (62% ต่อ 38%) และประกันสุขภาพ (59% ต่อ 41%) ทั้งคู่เสมอกันเรื่องตะวันออกกลาง แต่ชัยชนะเป็นของนายแวนซ์ในเรื่องเศรษฐกิจ (49% ต่อ 51%) และการจัดการผู้อพยพ (48% ต่อ 52%)
การดีเบตของรอง ปธน. มีผลต่อการเลือกตั้งหรือไม่?
ประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่า การโต้อภิปรายของแคนดิเดตรองประธานาธิบดีนั้น ไม่ส่งผลต่อการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ มากนัก
ในปี 2531 นายลอยด์ เบนต์เซน จากพรรคเดโมแครต ถล่มนาย แดน เควล คู่แข่งจากรีพับลิกันจนยับ แต่ไม่กี่เดือนต่อมา นายเควล กลับได้สาบานตนรับตำแหน่งรองประธานาธิบดี การดีเบตครั้งนี้อาจไม่ส่งผลต่อผลการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนเลยก็ได้
...
การดีเบตครั้งนี้ยังอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผู้สมัครของทั้ง 2 พรรคได้ประชันวิสัยทัศน์กัน โดยนายวอลซ์ไม่ได้สร้างความเสียหายแก่เดโมแครต และยังแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์บางอย่างของชาวมิดเวสท์ ที่ทำให้ น.ส.แฮร์ริสเลือกเขาเป็นคู่หูในการแข่งขั้นนี้
แต่ฟอร์มอันแข็งแกร่งของนายแวนซ์อาจทำให้รีพับลิกันคึกคักขึ้นในช่วงหลายวันข้างหน้า และอาจทำให้สมาชิกรีพับลิกันหลายคนเชื่อว่า สว.รัฐโอไฮโอผู้นี้ ซึ่งเพิ่งมีอายุเพียง 40 ปี จะมีอนาคตที่ดีในฐานะนักการเมืองสายอนุรักษ์นิยม เพราะเขาสามารถถ่ายทอดอุดมการณ์ของพรรคได้อย่างชัดเจนในเวทีใหญ่เช่นนี้
ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign
ที่มา : bbc