จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อคิดแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขยกระดับมาตรการเพื่อให้โรงพยาบาลรัฐมีที่ว่างเพียงพอรับผู้ป่วย

เมื่อวันเสาร์ที่ 18 พ.ค. 2567 กระทรวงสาธารณสุขของประเทศสิงคโปร์เปิดเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยประมาณระหว่างวันที่ 5-11 พ.ค. อยู่ที่ 25,900 ราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นซึ่งมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 13,700 ราย ถึง 90% ขณะที่จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลก็เพิ่มเป็นราว 250 รายต่อวัน จากสัปดาห์ก่อนที่ 181 รายต่อวัน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขย้ำว่า จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียูเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 3 ราย ส่วนค่าเฉลี่ยเมื่อสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 2 ราย

จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นทำให้กระทรวงสาธารณสุขต้องเรียกร้องให้โรงพยาบาลรัฐ ลดจำนวนการผ่าตัดแบบนัดผ่าตัดกรณีที่ไม่เร่งด่วนลง และย้ายผู้ป่วยที่เหมาะสมไปยังสถานพยาบาลต่างๆ หรือกลับไปรักษาต่อที่บาน เพื่อป้องกันไว้ก่อนและให้โรงพยาบาลมีเตียงโรงพยาบาลเพียงพอรองรับผู้ป่วยที่อาจเข้ามา

กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ยังร้องขอประชาชน ไม่ให้เข้ารับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่างๆ ห่างแสดงอาการป่วยออกมาเพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อน

เจ้าหน้าที่สิงคโปร์บอกด้วยว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ KP.1 และ KP.2 เป็นต้นเหตุของการติดเชื้อมากกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในสิงคโปร์

ทั้งนี้ เชื้อ KP.1 และ KP.2 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโควิด-19 กลุ่มที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ‘FLiRT’ ตามชื่อทางเทคนิคของการกลายพันธุ์ของพวกมัน โดยทั้งหมดเป็นเหมือนลูกหลานของไวรัสสายพันธุ์ JN.1 ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วโลกเมื่อหลายเดือนก่อน

...

เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อจัดให้โควิดสายพันธุ์ KP.2 เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การติดตาม (Variant Under Monitoring) โดยมันกลายเป็นเชื้อสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ ไปแล้ว และถูกพบในหลายประเทศเช่น จีน, ไทย, อินเดีย, ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ ทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่นว่า เชื้อสายพันธุ์ KP.1 และ KP.2 มีการติดต่อง่ายกว่าหรือทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงกว่าเชื้อสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ที่กำลังแพร่กระจายอยู่ตอนนี้ และขอให้ประชาชนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา จองคิวฉีดวัคซีนด้วย

ติดตามข่าวต่างประเทศ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ที่มา : cna