นายกรัฐมนตรีเผยข่าวดีรับปีมังกร จีนยกเว้นวีซ่าถาวรเริ่ม 1 มี.ค.นี้ คนทั้งสองประเทศจะเดินทางไปมาโดยไม่ต้องมีวีซ่าซึ่งกันและกัน ถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์และกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ชี้ถ้าอยากได้นักท่องเที่ยวจีน 8 ล้านคนในปี 2567 ยังต้องทำการตลาดอย่างหนัก เพราะตอนนี้คนจีนยังไม่ออกนอกประเทศ รอลุ้นช่วงตรุษจีนถึงจะเห็นชัดเจน ปีนี้จะมีคนจีนมาไทยมากแค่ไหน ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนแถลงยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 ฝ่ายกำลังสื่อสารกันเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่ได้ระบุกรอบเวลา
ข่าวดีปีมังกร จีนเปิดวีซ่าฟรีกับประเทศไทย เริ่ม 1 มี.ค.นี้ เมื่อเวลา 10.10 น. วันที่ 2 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในเรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ ได้มีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและภาษีอากรประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษีสุราพื้นบ้านเป็น 0% และให้กรมสรรพสามิตทบทวนเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่จะช่วยในเรื่องของสุราพื้นบ้านด้วย นอกจากนี้เรื่องการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน จะครบกำหนดหมดในวันที่ 29 ก.พ.67 ตนได้เคยพูดมาตลอดว่านโยบายของรัฐบาลนี้จะยกระดับความภาคภูมิใจของพาสปอร์ตไทย ความจริงถ้าจะให้ดีก็ควรจะยกวีซ่าของทั้ง 2 ประเทศ ที่ผ่านมาทางสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ยกเว้น 5 ประเทศที่ไม่ต้องมีวีซ่าโดยยกเว้นชั่วคราว แต่ในช่วงนั้นยังไม่อยากจะพูด เพราะเรากำลังพูดคุยกันอยู่แต่วันนี้ถือเป็นข่าวดี เพราะสาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังจะยกเว้นวีซ่าถาวร เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.67 สามารถไปกลับได้ทั้ง 2 ประเทศไม่ต้องมีวีซ่าซึ่งกันและกัน ถือเป็นการยกระดับความสำคัญของพาสปอร์ตไทยให้กับนักท่องเที่ยวที่อยากจะเข้ามาท่องเที่ยวทั้งในไทยและจีน ให้กรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประชาสัมพันธ์ว่าขณะนี้เราพร้อมแล้วที่จะเปิดประเทศ และกำชับให้ดูแลนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ประเทศให้ดีด้วย ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่ง
...
ขณะที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายก รัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการตรวจลงตรา หรือการยกเว้นวีซ่าซึ่งกัน และกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ และเห็นชอบให้ตนเดินทางไปลงนามความตกลงภายในเดือน ม.ค.หรือต้นเดือน ก.พ.2567 เพื่อให้การเดินทางไปมาระหว่างกันเกิดความราบรื่น เนื่องจากมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) แก่นักท่องเที่ยวจีน (ผ.30) เป็นการชั่วคราวจะสิ้นสุดในวันที่ 29 ก.พ. 2567
“สาระสำคัญ ร่างความตกลงฯระบุให้ยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยและผู้ถือหนังสือเดินทางกึ่งราชการ และหนังสือเดินทางธรรมดาของจีน สามารถพำนักได้ไม่เกิน 30 วัน และรวมระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วัน ยกเว้นกรณีการพำนักถาวร การทำงาน การศึกษา กิจกรรมด้านสื่อ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตล่วงหน้า” นายปานปรีย์กล่าว
รมว.ต่างประเทศเผยอีกว่า สำหรับการจัดความตกลงนี้เป็นผลมาจากที่นายกรัฐมนตรีไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16-19 ต.ค.66 และได้หารือกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ ประชาชนจีน ขอให้ทั้งสองฝ่ายจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาซึ่งกันและกัน ต่อมาวันที่ 6-7 ธ.ค.66 ตนได้ไปร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่กรุงปักกิ่ง ได้หารือทวิภาคีกับนายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศจีน หยิบยกเรื่องการยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทย นายหวัง อี้ เห็นชอบด้วย ได้เสนอขอตั้งคณะทำงานทั้งสองฝ่ายมาหารือกัน จากนั้นวันที่ 21—22 ธ.ค.66 คณะทำงานฝ่ายไทย นำโดยรองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้เจรจากับรองอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศของจีนที่กรุงปักกิ่งและเห็นพ้องที่จะให้ความตกลงฯมีผลใช้บังคับภายในวันที่ 1 มี.ค.67
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายก รัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า ในการประชุม ครม.ได้หารือกันเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี 2567 ได้พูดถึงเป้าหมาย 40 ล้านคน เท่ากับในปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 แม้ว่าตัวเลข 40 ล้านคนจะเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมากจากปีที่ผ่านมาที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 28.04 ล้านคน และมากกว่าที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งเป้าไว้ 35 ล้านคน แต่รัฐบาลตั้งเป้าให้สูงขึ้นจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่รัฐบาลผลักดันออกมาจำนวนมาก
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนหลังจากที่ออกมาตรการยกเว้นวีซ่าถาวรระหว่างไทยและจีนแล้ว รัฐบาลคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในประเทศมากขึ้น และเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยประมาณ 3.5-3.6 ล้านคน แต่ขณะนี้ต้องรอตัวเลขจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่จะรายงานการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ในปี 2562 เคยมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากถึงเกือบ 11 ล้านคน นอกจากนั้น รัฐบาลยังคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆเข้ามาเพิ่มเติม เช่น รัสเซีย มาเลเซีย และกลุ่มประเทศทางยุโรป ที่มีแนวโน้มจะเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น
วันเดียวกัน นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ระบุว่าไทยและจีนมีข้อตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน อย่างถาวรเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2567 เป็นต้นไป ถือเป็นการกระชับความสัมพันธไมตรีที่ดีเยี่ยมระหว่างกัน ต้องไว้วางใจกันอย่างมากถึงให้กันขนาดนี้ จากนี้ไปจะเกิดการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกันทั้งคนไทยที่ไปจีนและคนจีนที่มาไทย แต่การที่จะได้คนจีนมาเที่ยวประเทศไทยตามเป้าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศ ไทย (ททท.) ตั้งไว้ในปี 2567 ที่ 8 ล้านคน ยังจำเป็นต้องทำการตลาดอย่างหนัก จะอยู่เฉยไม่ได้ เพราะตอนนี้คนจีนยังไม่ออกเดินทางเที่ยวนอกประเทศ แอตต้าประเมินไว้ว่าอาจจะได้ที่ 6-7 ล้านคน อย่างไร ก็ตาม ต้องรอตอนตรุษจีนถึงจะเห็นความชัดเจนว่าในปีนี้จะมีคนจีนมาไทยมากแค่ไหน ถ้าหากมีการจองเที่ยวบินเต็มและมีการเพิ่มเที่ยวบินเช่าเหมาลำก็จะเป็นสัญญาณที่ดีที่ตลอดปีคนจีนจะมาไทยเพิ่มขึ้น
...
“การยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน จะทำให้คนไทยไปเที่ยวจีนก็เยอะขึ้นเช่นกัน เพราะการยกเว้นวีซ่าจะกระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวด้วย ต่อไปคนไทยจะไม่ต้องห่วงหรือรอการทำวีซ่าอีกแล้ว บางครั้ง ก็โดนตีกลับ อีกหน่อยจะไปเมื่อใดก็ได้ ขอให้มีตั๋วเครื่องบินก็ไปได้เลย ทัวร์ไฟไหม้ก็ยังไปได้เพราะไม่ต้องทำวีซ่าแล้ว” นายศิษฎิวัชรกล่าว
วันเดียวกัน นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวในการแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 ฝ่ายกำลังสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดในประเด็นดังกล่าว มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเริ่มดำเนินการที่เกี่ยวข้องตามที่ตกลงกันเพื่อประโยชน์ของพลเมืองจากทั้ง 2 ประเทศ โดยไม่ได้ระบุกรอบเวลา พร้อมเสริมว่าความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยยกระดับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างประชาชนกับประชาชน
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่