ไปโตเกียวเที่ยวนี้ครอบครัวซอกแซกซึ่งมีสมาชิกผู้ใหญ่ 5 คน เด็ก 2 คน ตัดสินใจไปพักที่บ้านกึ่งโรงแรมหลังเดิมที่เราเคยไปพักค้างมาหนหนึ่งแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน ก่อนที่จะเกิดโรคระบาดโควิด-19 จนทำให้ต้องหยุดเที่ยวไปเสียนานเพิ่งจะมีโอกาสออกตะลอนกันอีกหน

เหตุที่ตัดสินใจไปพักที่บ้านหลังนี้เพราะคำนวณดูแล้วประหยัดกว่าไปพักโรงแรมหลายเท่า แม้จะอยู่ชานเมืองหน่อยๆ แต่ก็มีสถานีรถใต้ดินไปถึง แถมมีรถเมล์สะดวกสบาย อาหารการกินก็เยอะ

อีกอย่างที่คณะของเราชอบเพราะอยู่ใกล้ๆกับ “วัดอาซากุสะ” วัดของเจ้าแม่กวนอิมที่คนไทยไม่น้อยให้ความเคารพนับถือ สามารถเดินเท้าไปได้เลย ประมาณสัก 10 กว่านาทีเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้หลังจากเดินทางไปถึงโตเกียวช่วงเย็นๆกว่าจะเข้าบ้านพักก็ทุ่มเศษๆแล้ว เราก็ตัดสินใจหาอาหารคํ่าแถวๆบ้านรับประทานเสร็จแล้วก็พักผ่อนหลับนอนเอาแรงเพื่อเตรียมตัวไปไหว้พระที่วัดอาซากุสะในวันรุ่งขึ้น

ว่าไปแล้วชื่อที่แท้จริงของวัดนี้คือ “วัดเซนโซจิ” ครับ แต่เนื่องจากอยู่ในย่านอาซากุสะ ซึ่งในอดีตเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งชื่อเมืองอาซากุสะ จึงเรียกกันอย่างติดปากนักท่องเที่ยวว่าวัดอาซากุสะมาโดยตลอด

เล่ากันว่า วัดเซนโซจิสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ.628 หรือ พ.ศ.1171 ด้วยแรงศรัทธาของชาวประมง 2 พี่น้องที่ออกไปหาปลาที่แม่น้ำ

ซูมิดะที่อยู่ใกล้ๆ และตลอดทั้งวันของวันหนึ่งจับปลาอะไรไม่ได้เลย แต่กลับได้รูปหล่อทองคำพระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดสูงประมาณ 5 นิ้ว จึงนำไปไว้ที่หมู่บ้านและชักชวนชาวบ้านสร้างวัดประดิษฐานรูปนี้ไว้เพื่อให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านนับตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้

เวลาเราไปยืนสักการะ ณ อาคารหลังใหญ่แบบศาลาเก๋งญี่ปุ่นหรือเก๋งจีน ซึ่งเปรียบเสมือนพระอุโบสถของวัดและเป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมนั้นจะไม่สามารถเห็นองค์จริง แต่ก็สามารถของพรได้จาก “เทพคันนอน” หรือเทพเจ้าแห่งความเมตตาที่สร้างไว้ด้านในแทนเจ้าแม่กวนอิม

...

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดอาซากุสะถูกระเบิดจนอาคารต่างๆได้รับความเสียหายไม่น้อย แต่ก็มีการบูรณะเพิ่มเติมจนกลายเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่พอสมควรและมีสัญลักษณ์ต่างๆมากมายในปัจจุบัน เช่น ประตู “คะมินะโมง” หรือ “ประตูสายฟ้า” ซึ่งเป็นประตูเข้าวัดขนาดสูงถึง 11 เมตรเศษ และมี “โคมแดง” ขนาดใหญ่สูงถึง 5.5 เมตร แขวนอยู่กลางประตู...เป็นจุด “เช็กอิน” ที่สำคัญและจะมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกมากที่สุดเมื่อมาถึงวัดนี้

จุดเด่นอีกจุดของวัดก็คือถนน “นากะมิเซะ” ยาวประมาณ 250 เมตร และจะมีร้านค้ากว่า 100 ร้านไปตลอด 2 ฟากทางจำหน่ายสินค้าสารพัดนับแต่ของที่ระลึกและขนมญี่ปุ่นต่างๆรวมทั้งเครื่องรางของขลังเพื่อให้ “สายมู” ช็อปกลับบ้าน

ภายในวัดยังมีสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามอีกหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเจดีย์ 5 ชั้น สูงถึง 53 เมตร บูรณะขึ้นใหม่เมื่อปี 2516 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ได้รับมาจากลังกา แม้จะไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าไปชมด้านในแต่ก็สามารถไปยืนถ่ายภาพเป็นที่ระลึกด้านนอกได้ จึงกลายเป็นจุดเช็กอินยอดนิยมอีกจุดนึง

มุมสวยอีกมุมหนึ่งของวัดอยู่ลึกเข้าไปทางด้านหลัง ซึ่งจะมองเห็นหอคอย “โตเกียวสกายทรี” สูงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างถนัดชัดเจน นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวใช้เป็นจุด “เช็กอิน” เพราะจะมีทั้งอาคารวัดแบบโบราณกับ “โตเกียวสกายทรี” สิ่งปลูกสร้างอันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทันสมัยของญี่ปุ่นเป็นแบ็กกราวด์อยู่ด้านหลัง

จากวัดอาซากุสะ สามารถจะเดินทางต่อไปเที่ยวได้อีกหลายๆแห่ง เพราะเดินจากหน้าวัดหน่อยเดียวก็จะเห็น “ท่าเรือ” สำหรับล่องแม่น้ำซูมิดะ และโรงงานเบียร์ อาซาฮี ซึ่งเป็นจุด “เช็กอิน” โตเกียวอีกจุดหนึ่ง

หัวหน้าทีมฯเคยล่องเรือไปตามลำน้ำซูมิดะแล้วเมื่อหลายๆปีก่อน จำได้ว่า ไปสิ้นสุดแถวๆ ปากอ่าวโตเกียว ได้บรรยากาศที่สวยงามอีกแบบหนึ่ง...ไปเที่ยวนี้จึงแค่ไปยืนถ่ายรูปที่หน้าโรงงานเบียร์อาซาฮี ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นฟองเบียร์ขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือโรงงานเล็กน้อย

จากนั้นก็แวะกลับไปที่แถวๆหน้าวัดเซนโซจิ อีกหนเพื่อที่จะรับประทาน “เทมปุระ” ที่ได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว แต่ที่สำคัญกว่าร้านอื่นๆก็ตรงที่ร้านนี้เป็นร้านที่เก่าแก่ที่สุดของโตเกียวอายุกว่า 180 ปี

ชื่อร้าน “ซานซาดะ” ครับ เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “San Sada ตั้งอยู่หน้าวัดพอดิบพอดี ห่างจากประตูเข้าวัดเพียง 20 กว่าเมตรเท่านั้น”

ตามประวัติหรือตำนานของร้านระบุว่า ร้านนี้เริ่มกิจการมาตั้งแต่ ค.ศ.1837 ได้ชื่อว่าเป็นร้านเทมปุระที่เก่าแก่ที่สุดของโตเกียว (บางตำรา บอกว่าเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นด้วยซ้ำ) ทุกวันนี้ยังคงแขวนป้ายผ้าม่านเก่าแก่ที่เรียกว่า “โนเริน” ตั้งแต่สมัยเอโดะเอาไว้ที่หน้าร้าน เพื่อยืนยันว่า เก่าจริง

ปกติร้านจะเปิดตั้งแต่ 11.30 น.ไปจนถึง 21.00 น. ขายเฉพาะ “เทมปุระ” หรืออาหารชุปแป้งทอดอย่างเดียว ราคาหลากหลาย ตั้งแต่ 500 กว่าเยนขึ้นไป จนถึง 2,000 กว่าเยน เฉลี่ยแล้วจะแพงกว่าเทมปุระทั่วไป ถือเสียว่าเป็นการจ่ายค่า “แบรนด์” และตำรับเก่าแก่ก็แล้วกันครับ

...

ความอร่อยและความเก่าแก่ของร้านทำให้ในช่วงก่อนเที่ยงและก่อนค่ำจะมีผู้คนมาเข้าคิวรอยาวเหยียดอยู่ตลอดเวลาต้องใช้ความอดทนในการรอคอยกันบ้างนิดหน่อยตามภาษิตบ้านเรายุคหนึ่งที่บอกว่า จะกินของอร่อยต้องใจเย็นๆ นั่นแหละครับ

นอกจากเทมปุระร้านนี้แล้วแถวๆวัดอาซากุสะยังมีอาหารอร่อยๆอีกเพียบ รวมทั้ง “เทมปุระ” ก็น่าจะมีอีกหลายร้าน ซึ่งบางร้านติดอันดับยอดนิยมสูงกว่า “ซานซาดะ” เสียอีกด้วยซ้ำ เดินหาดูก็แล้วกัน

สรุปแล้วไปวัดอาซากุสะ วัดเดียวได้นกหลายตัวเลยครับ ได้ทั้งการไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ดูของเก่าๆต่างๆแถมได้รับประทานอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆด้วย ถูกใจทั้งสาย “มู” และสาย “กิน” ด้วยประการฉะนี้แล.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “ซูมซอกแซก” เพิ่มเติม