• การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนสิ้นสุดลงไปแล้ว มีไฮไลต์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย รวมถึงการเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ สมัยที่ 3 ของ สี จิ้นผิง

  • แต่นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง บุคคลลำดับ 2 ของจีน และนายหวัง หยาง รองนายกฯ กลับไม่ติดโผสมาชิกคณะกรรมการกลาง ทำให้พวกเขาหลุดจากคณะกรมการเมืองโปลิตบูโร

  • นอกจากนั้นยังเกิดเหตุไม่คาดฝัน อดีตประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ถูกเชิญออกจากที่ประชุม ทำให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (NCCPC) ครั้งที่ 20 สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางการจับตามองจากทุกมุมโลก เนื่องจาก ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำพรรคสมัยที่ 3 ซึ่งจะทำให้เขาเป็นผู้นำจีนที่ทรงอำนาจที่สุดนับตั้งแต่ เหมา เจ๋อตง ผู้ก่อตั้งประเทศจีน

การประชุม NCCPC จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1970 และจัดขึ้นทุกๆ 5 ปีเรื่อยมา เพื่อเลือกผู้นำประเทศชุดใหม่เปลี่ยนนโยบายบริหารประเทศหากจำเป็น เพื่อรับประกันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำตามกำหนดเวลา ไม่ให้เกิดการปกครองแบบเผด็จการสไตล์เหมา เจ๋อตง ในประเทศอีก

การประชุมล่าสุดนับเป็นครั้งที่ 20 แล้ว โดยผู้แทนจากทุกภาคส่วนของพรรคคอมมิวนิสต์กว่า 2,300 คนมารวมตัวกันที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง เพื่อเลือกคณะกรรมการกลางของพรรคชุดใหม่ ซึ่งมีอำนาจในการเลือกเลขาธิการใหญ่ของพรรค, สมาชิกคณะกรมการเมือง หรือโปลิตบูโร และประธานคณะกรรมการกองทัพกลาง

...



ในปีนี้ การประชุม NCCPC ได้รับการจับตามมองมากกว่าเดิม เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหลายอย่าง โดยไฮไลต์สำคัญจากการประชุมล่าสุดมีดังนี้

ไม่ยอมรับเอกราชไต้หวัน-ไม่เลิกคุมเข้มโควิด

ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการของพรรคคอมมิวนิสต์เห็นชอบอย่างเป็นทางการที่จะแก้กฎหมายเพื่อต่อต้านและหยุดยั้งการเรียกร้องเอกราชของไต้หวันอย่างที่สุด โดยในคำกล่าวเปิดประชุมของ สี จิ้นผิง เขาไม่สัญญาว่าจะไม่ใช้กำลังในการยึดการควบคุมไต้หวันกลับมา และจะเก็บมาตรการนี้ไว้เป็นตัวเลือกในยามจำเป็น

คำพูดของผู้นำจีน ทำให้นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่า ปักกิ่งกำลังเร่งกรอบเวลาในการกลับไปรวมกับไต้หวัน จากเดิมที่สหรัฐฯ คาดว่า เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นจนถึง ค.ศ. 2027 แต่ตอนนี้ไม่แน่นอนแล้ว

นอกจากนั้น นายสียังกล่าวชื่นชมความสำเร็จในการควบคุมโควิด-19 และคุมสถานการณ์ในฮ่องกง, ย้ำความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ และเร่งสร้างกองทัพระดับโลก แต่ตลอดการประชุม สี จิ้นผิง ไม่ส่งสัญญาณใดๆ ว่าจะเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งถ่วงเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนัก

ไม่เผยตัวเลขเศรษฐกิจ

ช่วงแรกของการประชุม รัฐบาลจีนประกาศในวินาทีสุดท้ายว่าพวกเขาจะเลื่อนการเปิดเผยข้อมูลสถิติทางเศรษฐกิจประจำไตรมาส 3 รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจมวลรวม หรือ GDP อย่างไม่มีกำหนด ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า ข้อมูลที่ออกมาอาจเลวร้ายกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากจีนกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนักในช่วง 2-3 ปีหลัง แม้ว่าที่ผ่านมาจีนแทบไม่เคยเลื่อนการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ เพราะเหมือนเป็นการบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอ่อนแอ และทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ในการประชุม สี จิ้นผิง บรรยายถึงอนาคตที่สดใสของจีน ให้คำมั่นกับประชาชนหลายข้อ เช่น จีนจะเปิดกว้างต่อโลกภายนอกมากกว่าเดิม ในขณะเดียวกันก็พึ่งพาตัวเองมากขึ้น คุ้มครองสิทธิ์ของผู้บริหารกิจการภายในประเทศ ขยายบทบาทของรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไปสู่เป้าหมาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ (common prosperity) กระจายความมั่งคงจากผู้ร่ำรวยไปยังผู้ยากจนกว่า

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่เกิดขึ้นในจีนตลอดหลาย 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเลวร้ายลงอีกด้วยการระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลให้จีนติดกับดักรายได้ปานกลาง ไม่สามารถไปถึงความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้ เป้าหมายที่ว่าจะขยายเศรษฐกิจของประเทศเป็นเท่าตัวภายใน ค.ศ. 2035 จำเป็นต้องมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อปีเฉลี่ย 5% ไปตลอด 15 ปีข้างหน้า แต่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากทั้งในและนอกประเทศมองว่า คงไม่อาจเกิดขึ้นจริง

การเลื่อนเผยข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาส 3 เมื่อ 18 ต.ค. ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงปัญหาเศรษฐกิจ แม้ในที่สุด จีนจะยอมเปิดเผยข้อมูลในวันจันทร์ที่ 24 ต.ค. หลังการประชุม NCCPC จบลงไปแล้ว โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า GDP ของประเทศเติบโต 3.9% ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่คาดกันเอาไว้ แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายประจำปีที่ 5.5%

...

หวัง หยาง และ หลี่ เค่อเฉียง
หวัง หยาง และ หลี่ เค่อเฉียง

หลี่ เค่อเฉียงหลุดโผผู้นำพรรค

ผู้แทนที่มาร่วมการประชุมเลือกสมาชิกคณะกรรมการกลางของพรรคชุดใหม่ 203 คน สำรองอีก 168 คน แต่กลับไม่มีชื่อของ นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดอันดับ 2 ของจีนตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และนายหวัง หยาง รองนายกรัฐมนตรี ที่ลือกันว่าจะได้เป็นผู้สืบทอดของนายหลี่ นั่นทำให้ทั้งคู่หลุดจากตำแหน่งสมาชิกถาวรของคณะกรมการเมืองโปลิตบูโร (PBSC) อันเป็นหน่วยงานออกนโยบายสูงสุดของประเทศทันที

ไม่มีการเปิดเผยแน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้นายหลี่และนายหวังหลุดโผ โดยที่ผ่านมา จีนมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างไม่เป็นทางการที่เรียกว่า “7 ขึ้น 8 ลง” หมายความว่า ผู้ที่มีอายุ 68 ปีหรือมากกว่าในตอนที่การประชุมสมัชชาใหญ่เกิดขึ้น จะต้องเกษียณออกจากตำแหน่งสมาชิกถาวรของคณะกรมการเมืองโปลิตบูโร ส่วนผู้ที่อายุ 67 ปีหรือต่ำกว่า ก็อาจได้รับหรือรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ โดยในปีนี้ นายหลี่มีอายุ 67 ปีเท่านั้น

ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนระบุว่า ทั้งนายหลี่และนายหวัง ไม่ได้ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิงมากนัก และการถอดทั้งคู่ออกจาก PBSC จะเปิดทางให้นายสีเลือกแต่ผู้ภักดีเข้ามาเป็นสมาชิกได้ นอกจากนั้นยังมีประเด็นที่ว่า นายหลี่นิยมการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบตลาด สวนทางกับเป้าหมายของ สี จิ้นผิง ที่ต้องการขยายการควบคุมเศรษฐกิจของรัฐ

...

สี จิ้นผิง เป็นผู้นำพรรคสมัยที่ 3

ไฮไลต์ที่สำคัญที่สุดของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 นี้ คงไม่พ้นเรื่องที่ สี จิ้นผิง ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ และเป็นประธานคณะกรรมการกองทัพกลางเป็นสมัยที่ 3 และหากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาจะได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดีของประเทศอีกสมัย ที่การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในเดือนมีนาคมปีหน้า

หลังจากยุคของเหมา เจ๋อตง ไม่เคยมีใครในประเทศจีนได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ถึง 3 สมัย แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เพราะการแก้รัฐธรรมนูญเมื่อ ค.ศ. 2018 ยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง ซึ่งทำให้เกิดความคาดหมายว่า นายสีอาจอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนตลอดชีวิต

...

โปลิตบูโรชายล้วนครั้งแรกในรอบ 25 ปี

ในวันอาทิตย์ (23 ต.ค.) จีนประกาศรายชื่อสมาชิกกรมการเมืองโปลิตบูโรชุดใหม่ทั้ง 25 คน โดยนี่เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ที่ไม่มีสมาชิกผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว หมายความว่า ตลอด 5 ปีข้างหน้า จีนจะถูกปกครองโดยคณะบริหารที่เป็นชายล้วน ซึ่งถูกมองว่าเป็นความถดถอยอย่างหนักในแง่ของความเท่าเทียมทางเพศ

ตัวนายสีเองเคยกล่าวเอาไว้ในอดีตว่า ผู้หญิงควรแบกรับหน้าที่ของการดูแลคนแก่และเด็ก รวมถึงให้การศึกษาแก่เด็กๆ ทั้งที่เคยให้คำมั่นว่าจะยึดมั่นในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ

ขณะที่สมาชิกถาวร 7 คนของคณะกรมการเมืองโปลิตบูโรชุดใหม่ ก็มีหน้าเดิมเพียง 2 คน ไม่รวม สี จิ้นผิง ส่วนที่เหลืออีก 4 คน ล้วนเป็นหน้าใหม่ซึ่งมีความใกล้ชิดและภักดีต่อสี จิ้นผิงทั้งสิ้น

เชิญ หู จิ่นเทา ออกจากที่ประชุม

อีกหนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในการประชุมครั้งนี้คือ สี จิ้นผิงสั่งเจ้าหน้าที่ให้พาอดีตประธานาธีบดี หู จิ่นเทา ออกจากห้องประชุม หลังจากเขาโหวตเลือกสมาชิกคณะกรรมการกลางของพรรคแล้ว ภาพที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์ชี้ว่า นายหูพยายามขัดขืน แต่สุดท้ายก็ออกไปแต่โดยดี

จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครออกมาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น สื่อจีนคาดว่านายหูอาจป่วย เพราะภาพที่ออกมาแสดงให้เห็นว่านายหูดูเหม่อลอยก่อนถูกเชิญออก ขณะที่บางคนเดาถึงขั้น สี จิ้นผิง กับ หู จิ่นเทา แตกหักกัน โดยตั้งข้อสังเกตว่า สมาชิกโปลิตบูโรถาวรชุดใหม่ ไม่มีบุคคลจากฝ่ายสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นพวกของนายหูเลย ส่วน หลี่ เค่อเฉียงที่หลุดตำแหน่งไป ก็เคยเป็นคนในอุปถัมภ์ของนายหู

แต่ความจริงคืออะไรนั้น ต้องติดตามกันต่อไป




ผู้เขียน : ทิตชนม์ สว่างศรี

ที่มา : yahoofpri