• พรรคคอมมิวนิสต์ของจีน เตรียมมอบตำแหน่งประธานาธิบดี 5 ปี เป็นสมัยที่ 3 ให้แก่ สี จิ้นผิง ซึ่งว่ากันว่าเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของจีนตั้งแต่สมัยของ เหมา เจ๋อตุง ในยุค 1970
  • เมื่อสิบปีก่อน แทบไม่มีใครรู้จัก สี จิ้นผิง เจ้าของฉายา "เจ้าชายน้อย" เพราะบิดาของเขาเป็นหนึ่งในผู้นำยุคปฏิวัติของจีน แต่สถานะทายาททางการเมืองได้ปูทางให้นายสี ได้รับเสียงสนับสนุนจากบรรดาแกนนำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขึ้นสู่อำนาจภายในพรรค
  • ในปี 2018 หลักการว่าด้วย "แนวคิดของสี จิ้นผิง ว่าด้วยสังคมนิยมและอัตลักษณ์ความเป็นจีนในยุคสมัยใหม่" ได้ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญของจีน ขณะที่ นายเจียง เจ๋อหมิน และ หู จินเทา ไม่มีทฤษฎี หรือแนวคิดใดที่ยึดโยงตามชื่อของพวกเขา

แทบไม่มีใครคาดคิดว่า สี จิ้นผิง จะกลายเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของจีนในรอบหลายทศวรรษ และตอนนี้เขาอาจสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการดำรงตำแหน่งผู้นำเป็นสมัยที่ 3

เมื่อสิบปีก่อน แทบไม่มีใครรู้จัก สี จิ้นผิง นอกเหนือจากฉายา "เจ้าชายน้อย" เพราะบิดาของเขาเป็นหนึ่งในผู้นำยุคปฏิวัติของจีน

สถานะทายาททางการเมืองได้ปูทางให้นายสี ได้รับเสียงสนับสนุนจากบรรดาแกนนำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขึ้นสู่อำนาจภายในพรรค เพราะบุคคลเหล่านี้ยังคงมีอิทธิพลในพรรคอย่างมาก แม้จะหลังการเกษียณอายุแล้วก็ตาม

โจเซฟ ฟิวสมิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองของชนชั้นปกครองในจีน มหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าวว่า "ก่อนการขึ้นสู่อำนาจ สี จิ้นผิง ถือเป็นบุคคลที่ประนีประนอมได้กับทุกคน" อย่างไรก็ตาม 10 ปีต่อมา ดูเหมือนว่านายสี จะอยู่ในสถานะที่ไร้ข้อสงสัย และมีอำนาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่คำถามคือเขาได้อำนาจนี้มาได้อย่างไร

...

อำนาจจากกระบอกปืน

เหมา เจ๋อตุง บิดาผู้ก่อตั้งจีนคอมมิวนิสต์ เคยกล่าวประโยคหนึ่งว่า "อำนาจทางการเมืองเกิดขึ้นจากกระบอกปืน"

หลังก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 นายเหมาวางระบบให้พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นผู้กุมอำนาจกองทัพปลดปล่อยประชาชน แต่ไม่ใช่รัฐบาล นับตั้งแต่นั้น ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จึงอยู่ในสถานะประธานคณะกรรมการกลางกองทัพ หรือ ซีเอ็มซี
นายสี จิ้นผิง นั้น นับว่าโชคดีกว่า นายหู จินเทา ประธานาธิบดีคนก่อนหน้า เพราะ นายสี ได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการกลางกองทัพ และขจัดฝ่ายตรงข้ามภายในกองทัพในทันที

เหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงที่สุด เกิดขึ้นในช่วงปี 2014 และ 2015 เมื่อ นายสู ไหโฮ่ว อดีตรองประธานคณะกรรมการกลางกองทัพ และ นายกั๋ว ป๋อสง อดีตนายพลกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชัน

โจเอล วูธนาว นักวิจัยอาวุโส มหาวิทยาลัยความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า "ตอนที่ถูกกล่าวหาทั้งสองเกษียณอายุแล้ว การที่นายสี มีอำนาจจัดการกับทั้งสองได้ ทำให้อิทธิพลในกองทัพฯ ที่ยังคงมีอยู่มาตั้งแต่นายเจียง เจ๋อหมิน ลดลงไปด้วย"

วูธนาว เสริมว่า "มันยังถือเป็นการส่งสัญญาณที่ทรงพลังไปยังเจ้าหน้าที่ทหารที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ว่า ไม่มีใครที่จะมีภูมิต้านทานภายใต้การควบคุมของนายสี"

ในปี 2015 นายสียังทำการยกเครื่องโครงสร้างกองทัพ เขาสั่งยุบสำนักงานใหญ่ทั้ง 4 ของกองทัพ ได้แก่ สำนักบุคลากรทหาร การเมือง การขนส่ง และยุทโธปกรณ์ แล้วแทนที่ด้วยสำนักงานที่มีขนาดเล็กกว่า 15 แห่ง

วูธนาว กล่าวว่า โครงสร้างแบบใหม่ช่วยให้คณะกรรมการกลางกองทัพออกคำสั่งตรงไปยังหน่วยงานย่อยในกองทัพได้ ที่ครอบคลุมไปถึงผู้ตรวจสอบทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันรายงานตรงกับซีเอ็มซี

นอกเหนือจากที่กล่าวมา มันคือการสร้างความจงรักภักดีแบบเบ็ดเสร็จต่อนายสี ซึ่งเขายังดำเนินยุทธศาสตร์ดังกล่าวอยู่ เมื่อเดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน เผยแพร่บทความที่ตอกย้ำว่า ซีเอ็มซีมีอำนาจสั่งการสูงสุดในกองทัพ

ทิโมธี ฮีท นักวิจัยอาวุโสด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ จากองค์กรวิจัย แรนด์ กล่าวว่า "สารดังกล่าวช่วยขจัดแนวโน้มใดๆ ที่อาจก่อตัวขึ้นในกองทัพ ในการสร้างความจงรักภักดีในกลุ่มผู้นำกองทัพ ซึ่งอาจลุกขึ้นมาต่อต้านนายสี"

"ความจงรักภักดีต่อพรรค คือความคาดหวังว่า กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนจะต้องปฏิบัติตามและดำเนินการใดๆ ก็ตาม เพื่อธำรงไว้ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะรักษาอำนาจให้นายสี"

...


ความจงรักภักดีต้องมาก่อน

หลังจากใช้กระบอกปืนแล้ว สิ่งจำเป็นคือการใช้มีด หรือการใช้กลไกลความมั่นคงภายใน เพื่อกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ
สองปีหลังจากที่ นายสี จิ้นผิง ขึ้นครองอำนาจ ทางการจีนยืนยันการจับกุม "เสือ" หรือ นายโจว หย่งคัง อดีตประธานด้านความมั่นคงภายใน และสมาชิกอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ ในข้อหาคอร์รัปชัน

นายโจว หย่งคัง มีความใกล้ชิดกับ นายป๋อ ซีไหล เจ้าของฉายา "เจ้าชายน้อย" อีกคนหนึ่ง ที่ถือเป็นคู่แข่งของนายสี

การสอบสวนได้สร้างความความสั่นสะเทือนทางการเมือง เพราะถือเป็นการทำลายกฎที่ไม่มีการกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า สมาชิกของคณะกรรมการกลางถาวรประจำกรมการเมือง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจตัดสินใจมากที่สุด จะไม่ถูกลงโทษทางอาญา

นีล โธมัส นักวิเคราะห์อาวุโส ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน ของยูเรเซีย กรุ๊ป กล่าวว่า "สี จิ้นผิง กลายเป็นนักการเมืองที่ฉลาดหลักแหลม เขาค่อยๆ ดำเนินการอย่างอดทน ก่อนหาจังหวะที่เหมาะสมในการขึ้นสู่อำนาจ ขณะที่สมาชิกพรรคอาวุโสซึ่งคอยสนับสนุนการขึ้นสู่อำนาจของนายสี ต่างรู้สึกประหลาดใจต่อการขยายขอบเขตอำนาจ และการที่เขาสามารถก้าวขึ้นสู่อำนาจได้อย่างรวดเร็ว"

ผู้สังเกตการณ์ กล่าวว่า การต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของนายสี ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้กำจัดคู่แข่งทางการเมือง และกลุ่มต่างๆ ภายในพรรค โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีชาวจีนมากกว่า 4.7 ล้านคน ที่ถูกสอบสวนโดยหน่วยงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน

วิกเตอร์ ชีห์ นักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย-ซานดิเอโก กล่าวว่า "ในช่วง 2 ปีมานี้ นายสี เดินหน้าจัดการกับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่เคยสนับสนุนการขึ้นสู่อำนาจของเขาในยุคแรก"

"ปัจจุบันหน่วยงานด้านความมั่นคงอยู่ใต้การบริหารโดยเจ้าหน้าที่ที่เคยใกล้ชิดกับนายสี หรือโดยคนที่นายสีไว้ใจเกือบทั้งหมด"

...

นายสี ยังวางตัวผู้ที่ภักดีต่อเขาให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในระดับภูมิภาค เช่น เลขาธิการพรรคในเมืองสำคัญ อาทิ กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และเทศบาลนครฉงชิ่ง

โธมัส กล่าวว่า ตำแหน่งเหล่านี้มีความสำคัญ เพราะรับผิดชอบต่อการตีความและบังคับใช้คำสั่งจากส่วนกลางไปยังชุมชนต่างๆ ที่มีประชากรหลายล้านคน

จากข้อมูลที่ หวู กั้วกง ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งวิคตอเรียในแคนาดา ได้รวบรวมไว้ ระบุว่า สมาชิกคณะกรรมการระดับมณฑลเกือบทุกตำแหน่ง จากทั้งหมด 281 ตำแหน่ง ล้วนเป็นตำแหน่งที่นายสี เป็นผู้แต่งตั้งทั้งสิ้น

การสร้างแบรนด์ส่วนตัว


ในปี 2018 หลักการว่าด้วย "แนวคิดของ สี จิ้นผิง ว่าด้วยสังคมนิยมและอัตลักษณ์ความเป็นจีนในยุคสมัยใหม่" ได้ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญของจีน

แม้จะดูยืดยาว แต่การที่อุดมการณ์ดังกล่าวตั้งตามชื่อนายสี ก็ถือเป็นหนึ่งในการจารึกเกียรติประวัติของเขา ก่อนหน้าสี มีเพียงบุคคลเดียวที่ทำเช่นนี้ได้สำเร็จ นั่นคือ ประธานเหมา เจ๋อตุง เพราะแม้แต่ นายเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้ได้ชื่อว่าสถาปนิกผู้นำจีนสู่ยุคใหม่ ก็มีเพียงแต่การตั้งชื่อทฤษฎีตามชื่อของเขาเท่านั้น และถ้าจะให้เห็นชัดขึ้น ในขณะที่ นายเจียง เจ๋อหมิน และ หู จินเทา ไม่มีทฤษฎี หรือแนวคิดใดที่ยึดโยงตามชื่อของพวกเขา

...

ฌอง-ปิแอร์ คาเบสแตน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแบบติสต์ในฮ่องกง กล่าวว่า "แนวคิดของสี มีเป้าหมายในเบื้องต้นเพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมและอำนาจที่อยู่เหนือทุกคนในพรรคคอมมิวนิสต์และประเทศ มันเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิบูชาบุคคลที่ยึดโยงกับนายสี ไม่เพียงต่อนายเหมา และยังรวมถึงจักรพรรดิที่เกรียงไกรของจีนในยุคก่อน"

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์หมิงเป่าในฮ่องกง มหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหัว ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยภายใต้ชื่อของสี จิ้นผิง

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้เผยแผนที่จะส่งเสริมให้ "แนวคิดของสี จิ้นผิง" เป็นหลักสูตรการศึกษาระดับประเทศ

ก่อนหน้านั้น เมื่อปี 2019 มีการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันชื่อ "ฉือฉี เฉียงกั๋ว" (Xuexi Qiangguo) หรือ "เรียนรู้จากสี เสริมสร้างชาติ" ซึ่งมีลักษณะเป็นเกมตอบคำถามที่เกี่ยวกับแนวคิดของสี จิ้นผิง

แอนดรูว์ นาธาน ศาสตราจารย์ด้านรัฐประศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กล่าวว่า “สี จิ้นผิง เชื่อว่าเขามีหลักการที่ถูกต้องแล้ว และทุกคนต้องยอมรับ"

"เมื่อใดที่ประธานเหมาบัญญัตินโยบาย ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ยุคของสี ก็เช่นกัน."

ที่มา บีบีซี