ติดอันดับท็อปเทนพระประมุขที่มีพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์มากที่สุดในโลก รวมมูลค่ากว่า 530 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไม่นับรวมทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ถือเป็นมรดกของแผ่นดิน ทำให้ชาวโลกอดสงสัยไม่ได้ว่า หลังการเสด็จสวรรคตของ “สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง” พระราชทรัพย์ทั้งหมดจะตกเป็นของทายาทองค์ใดบ้าง
ในบรรดาพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ หากเปิดกรุสมบัติจะพบว่า มีชุดเครื่องเพชรและจิวเวลรีล้ำค่าในครอบครองอยู่ถึง 300 ชิ้น เป็นเข็มกลัด 98 ชิ้น และสร้อยพระศอ 46 ชิ้น คาดว่าจะตกทอดไปอยู่ในมือพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหญิง เช่น “ควีนคามิลลา” พระชายาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่สาม, “แคทเธอรีน เจ้าหญิงแห่งเวลส์” พระชายาของเจ้าฟ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมาร และ “เคาน์เตสแห่งเวสเซกซ์” พระชายาของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด
เผยโฉมเครื่องเพชรจากกรุสมบัติควีนอังกฤษให้เห็นเป็นขวัญตาก็ในงานพระราชพิธีพระบรมศพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง โดย “แคทเธอรีน เจ้าหญิงแห่งเวลส์” ทรงใส่ต่างหู มุกบาห์เรนประดับเพชร ที่ได้รับพระราชทานจากควีน เข้าเซตกับสร้อยคอโชกเกอร์เพชรประดับไข่มุก 4 ชั้น ซึ่งเป็นเครื่องประดับชิ้นโปรดขององค์ควีน ที่ทรงสวมใส่ในโอกาสสำคัญๆหลายครั้ง และเจ้าหญิงไดอานาก็เคยยืมไปใส่ออกงานจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง ฟาก “สมเด็จพระราชินีคามิลลา” ทรงติดเข็มกลัดเพชรประดับไพลินรูปหัวใจที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยควีนวิกตอเรีย แม้แต่ “เจ้าหญิงชาร์ลอตต์” พระธิดาองค์น้อยของเจ้าฟ้าชายวิลเลียม ก็ติดเข็มกลัดรูปเกือกม้า ที่ได้รับพระราชทานจากควีน
กระนั้น สุนัขทรงโปรดพันธุ์คอร์กี้ของควีนเอลิซาเบธที่สอง สายรายงานว่าตกเป็นของพระราชโอรสองค์รอง “เจ้าชายแอนดรูว์” ดยุกแห่งยอร์ก รับอาสาดูแลสุนัขทรงเลี้ยงอย่าง “มุค” และ “เฟอร์กัส” ตั้งแต่พระราชบิดา “เจ้าชายฟิลิป” ทรงเข้ารับการรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาล ภายหลังเมื่อ “เฟอร์กัส” เสียชีวิต “เจ้าชายแอนดรูว์” ก็ทรงจัดแจงซื้อสุนัขคอร์กี้ตัวใหม่มาถวายพระราชมารดา โดยตั้งชื่อว่า “แซนดี้” เพื่อบรรเทาความโศกเศร้าจากการสูญเสียพระสวามีและสุนัขสุดรัก ขณะที่ม้าแสนรักอย่าง “เอ็มมา” น่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของพระราชธิดา “เจ้าฟ้าหญิงแอนน์” ซึ่งโปรดกีฬาขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ
...
แน่นอนว่าไม่มีพระราชวงศ์องค์ใดจะได้แตะต้องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามอำเภอใจ เพราะไม่ใช่พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แต่เป็นมรดกตกทอดสู่พระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ในรัชสมัยปัจจุบัน หมายความว่า “ควีนเอลิซาเบธที่สอง” ทรงไม่สามารถขายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อนำเงินไปเก็บไว้เป็นของส่วนพระองค์ โดยตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น พระราชวังบั๊กกิ้งแฮม, พระราชวังวินด์เซอร์, พระราชวังเซนต์เจมส์, พระราชวังเคนซิงตัน, โรงรถพระที่นั่งและคอกม้าที่พระราชวังแฮมป์ตันคอร์ต ตลอดจนถึงมงกุฎและชุดเครื่องเพชรประจำราชวงศ์ จะต้องตกทอดสู่กษัตริย์พระองค์ใหม่คือ “พระเจ้าชาร์ลส์ที่สาม” โดยมีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาและเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ แม้แต่ถนนรีเจนต์ ใจกลางกรุงลอนดอน และสนามม้าแอสคอตในมณฑลเบิร์กเชียร์ ก็ถือเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
กระนั้น องค์พระประมุขจะทรงได้รับการถวายเงินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในสัดส่วน 15% ของผลกำไรที่ได้มาในช่วง 2 ปีก่อนหน้า ตกปีละ 85.9 ล้านปอนด์ เพื่อทรงใช้เงินปีส่วนพระมหากษัตริย์สำหรับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางการต่างๆของประมุขและเหล่าพระราชวงศ์ ครอบคลุมถึงค่าบำรุงรักษาพระราชวังต่างๆ, ค่าจ้างข้าราชบริพาร และค่าเดินทาง ส่วนกำไรที่เหลือจะตกเป็นของรัฐบาลทั้งหมดเพื่อจัดสรรเป็นงบประมาณต่อไป ภายหลังมีข้อตกลงเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ปี 2017 องค์พระประมุขจะทรงได้รับเงินเพิ่มเป็น 25% เป็นเวลา 10 ปี เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการบูรณะพระราชวังบั๊กกิ้งแฮม ที่ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 369 ล้านปอนด์
นอกจากเงินปีส่วนพระมหากษัตริย์แล้ว ยังมีรายได้ส่วนพระองค์ที่จะส่งต่อให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อไป ทั้งจากพระคลังข้างที่ (Privy Purse) และสำนักงานจัดการลงทุนทรัพย์สินส่วนพระองค์แห่งแลงคาสเตอร์ (Duchy of Lancaster) ซึ่งครอบครองที่ดินกว่า 18,000 เฮกเตอร์ รวมถึงพื้นที่อย่างมณฑลแลงคาสเชียร์, ยอร์กเชียร์ และอสังหาริมทรัพย์ใจกลางกรุงลอนดอน
ยกเว้นพระตำหนักซานดริงแฮมในนอร์โฟล์ก และพระตำหนักบัลมอรัลในสกอตแลนด์ ถือเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ตกทอดโดยตรงมาจากต้นราชสกุลวินด์เซอร์ คาดว่าจะทรงส่งมอบให้พระราชโอรสองค์โตเก็บรักษาไว้เป็นมรดกในความทรงจำตราบชั่วลูกชั่วหลาน.
มิสแซฟไฟร์