หากติดตามสงครามยูเครน-รัสเซียคงเห็นได้ว่ามีการพูดถึงระบบ “ไฮมาร์ส” (HIMARS) กันอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะฝ่ายกองทัพยูเครนที่ยกย่องว่าเป็นอาวุธที่จะทำให้สถานการณ์พลิกผัน เปิดโอกาสให้ยูเครนสามารถปฏิบัติการ “ตีโต้” (Counter Offensive) เพื่อทวงคืนดินแดนที่สูญเสียไป พร้อมหมายมั่นปั้นมือว่า สิ่งที่จะเอาคืนก่อนคือ จังหวัดเคียร์ซอนทางภาคใต้ ติดคาบสมุทรไครเมีย ซึ่งถูกยึดไปตั้งแต่ช่วงต้นสงครามเดือน มี.ค.
ทั้งนี้ ระบบไฮมาร์ส หรือเอ็ม 142 รถยิงจรวดความคล่องตัวสูง เป็นอาวุธที่โลกตะวันตกคิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับกลยุทธ์การศึกของสหภาพโซเวียต ที่จะใช้รถยิงจรวดจำนวนมากปูพรมใส่สนามรบจากระยะไกล ไฮมาร์สจะมุ่งเน้นไปที่ความแม่นยำเพราะสู้ด้วยปริมาณไม่ไหว
รูปแบบคือ ในเมื่อโซเวียต (รัสเซีย) ยิงถล่มมาแบบมืดฟ้ามัวดิน 100 นัด ยิงเข้าเป้าสัก 10 นัดก็โอเค ทางนี้ก็ขอเพียงรู้ตำแหน่งที่จะยิงสวนกลับไปให้ถูกเป้าหมายอย่างจังและรีบเคลื่อนย้ายตำแหน่งอย่างรวดเร็วภายในเวลาหลักนาที ก่อนที่จะถูกตรวจจับพิกัดและยิงตอบโต้กลับมา

...
ด้วยการที่ระบบไฮมาร์สใช้กระสุนจรวดเอ็ม 31 ขนาด 227 มม. หัวรบระเบิดอเนกประสงค์นำวิถีด้วยจีพีเอส ระยะยิงประมาณ 70-80 กิโลเมตร จึงทำให้กองทัพยูเครนมีระยะยิงเหนือกว่าปืนใหญ่และรถยิงจรวดของรัสเซียอย่างบีเอ็ม 21 “กราด” เพิ่มโอกาสที่จะรอดพ้นจากการถูกยิงสวนจากอาวุธดังกล่าว (ยกเว้นเสียว่าจะเจอระบบยิงจรวดพิสัยไกลอย่างบีเอ็ม 30 สเมิร์ช หรือจรวดระยะไกลจากเครื่องบินรบ) ทั้งยังเปิดโอกาสให้แก่กองทัพยูเครนในการยิงถล่มรัสเซียหลังแนวรบตัดเสบียง ทำลายคลังเก็บกระสุน อาวุธยุทโธปกรณ์
ขณะนี้ยูเครนครอบครองระบบไฮมาร์สจากสหรัฐฯ แล้วทั้งหมด 16 คัน (รัสเซียอ้างว่าทำลายไปแล้ว 4 คัน) ซึ่งกองทัพยูเครนร้องขอว่า ถ้าจะให้ดีควรส่งมอบมาเรื่อยๆ สัก 50 คัน หรือ 100 คัน หวังลดความต่างชั้นในด้าน “ปริมาณ” อันมหาศาลของกองทัพรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการบางส่วนให้ความเห็นต่างออกไปว่า การส่งมอบระบบไฮมาร์สให้ยูเครนตามจำนวนที่ร้องขออาจเป็นแผนการที่ “ไม่ยั่งยืน” อย่าง พ.อ.มาร์ค แคนเซียน ที่ปรึกษาอาวุโสประจำศูนย์ยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษา มองว่า การมองว่ามีอาวุธเยอะเข้าไว้ อาจไม่ถูกต้องสักเท่าไร เนื่องจากมีสิ่งที่เรียกว่า “เบิร์น เรต” หรืออัตราการผลาญกระสุน

“ดูจากข้อมูลของฝ่ายยูเครน รถไฮมาร์ส 1 คัน มี 6 ท่อยิง วันหนึ่งยิง 2 รอบ เท่ากับว่ารถ 1 คัน จะยิงกระสุนวันละ 12 นัด ตอนนี้ยูเครนมี 16 คัน หากใช้พร้อมกันหมดยิงแบบฟูลวอลเลย์ เท่ากับวันนั้นยิงไปแล้ว 192 นัด ด้วยเหตุนี้ การทำสงคราม 1 เดือน หมายความว่า ต้องใช้จรวดถึง 5760-5952 นัด” และแน่นอนหากยูเครนครอบครองไฮมาร์ส 50 คัน จะเท่ากับว่าเดือนหนึ่งจะมีอัตราผลาญกระสุนถึง 18,000-18,600 นัด หรือ 100 คัน ก็จะมีสัดส่วนเบิร์น เรต 36,000-37,200 นัดต่อเดือน
พ.อ.แคนเซียนให้ความเห็นต่อไปว่า ระบบไฮมาร์สที่ไม่มีกระสุนนำวิถีจีพีเอส (GMLRS) ก็ไร้ประโยชน์ อันนี้คือข้อจำกัดที่สำคัญยิ่ง ดังนั้นการเรียกร้องขอรถยิงเพิ่มไม่ช่วยอะไร แถมหากคำนวณสัดส่วนอัตราการผลาญกระสุนของยูเครนในขณะนี้ คิดเป็นปริมาณ 29 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณที่กลาโหมเพนตากอนสั่งซื้อจรวดจากบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน ในกรอบเวลา 5 ปีข้างหน้า
กระสุนที่สหรัฐฯส่งมอบให้ยูเครนขณะนี้ เอามาจากคลังสำรองที่สต๊อกไว้กว่า 30,000 นัด แผนการที่จะดูยั่งยืนหน่อยคือ หากกองทัพสหรัฐฯส่งจรวดให้ยูเครน 10,000 นัด และกองทัพยูเครนตัดสินใจยิงพร้อมกัน 16 คัน เพียง 3 นัดต่อคันต่อวัน เท่ากับ 1 เดือน ใช้กระสุน 1,440-1,488 นัด ก็จะสามารถยื้อไปได้จนเข้าสู่ปี 2566
กระนั้น สื่อความมั่นคงในสหรัฐฯ ระบุด้วยว่า ยังไม่แน่ชัดว่าในปี 2566 จะเป็นเช่นไร เพราะ 1.กำลังการผลิตของล็อคฮีด มาร์ติน อยู่ที่ปีละ 10,000 นัด หรือเพิ่มได้เป็น 20,000 นัดต่อปี หากได้รับการร้องขอจากรัฐบาล (แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับการร้องขอ) 2.จรวดราคาอยู่ที่นัดละ 168,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือนัดละกว่า 5.88 ล้านบาท และ 3.การงัดกระสุนจากคลังเพิ่มเติมย่อมหมายความว่า สต๊อกกระสุนไฮมาร์สของสหรัฐฯเองจะไม่พอใช้ในยามฉุกเฉิน และเกิดคำถามตามมาจากฝ่ายการเมืองว่า แผนการช่วยยูเครนชักจะบานปลายหรือไม่
...
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ความมั่นคงบางส่วนยังตั้งคำถามว่า ไฮมาร์สจะอยู่จนถึงปี 2566 จริงหรือเปล่า และยูเครนจำเป็นต้องได้กระสุนจรวดรุ่นที่ดีกว่านี้อย่าง ระบบจรวดทางยุทธวิธีกองทัพบก (ATACMS) ซึ่งมีระยะยิงกว่า 300 กิโลเมตรหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้รัสเซียเคยเสียหายหนักช่วงต้นสงครามจากโดรนตุรกี แต่ต่อมารัสเซียได้เรียนรู้และปรับกลยุทธ์ใหม่ วางระบบต่อต้านอากาศแน่นกว่าเดิมจนขณะนี้โดรนออกปฏิบัติการไม่ได้แล้ว
เกรงว่าระบบไฮมาร์สจะลงเอยแบบเดียวกันและตราบใดที่รัสเซียยังมีความมุ่งมั่นจะผนวกดินแดนยูเครนให้ได้นั้น การสังหารทหารรัสเซียได้มากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยให้ชนะสงคราม.
วีรพจน์ อินทรพันธ์