- จีนมีบัณฑิตจบใหม่ที่เตรียมจะเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงภาวะเศรษกิจตกต่ำในเวลานี้มากถึง 10.8 ล้านคน ขณะอัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่ในจีนในขณะนี้อยู่ที่ 18.4 เปอร์เซ็นต์สูงกว่าเฉลี่ยถึง 3 เท่า
- การแก้ปัญหาการว่างงานของบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษานับว่ามีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของรัฐบาลจีน ท่ามกลางเสถียรภาพที่ไม่มั่นคงในเวลานี้
ตัวเลขของบัณฑิตจบใหม่ในจีนในปีนี้นับว่าสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 10.8 ล้านคน เกือบจะเท่ากับจำนวนประชากรของประเทศโปรตุเกสแล้ว แต่ปีนี้กลับไม่ใช่จังหวะที่ดีในการจะหางาน ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจจีนที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปี จากผลพวงของการล็อกดาวน์จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยพบว่าตลาดแรงงานของจีนเลวร้ายกว่าช่วงปี 2008-2009 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก ขณะที่ตำแหน่งงานใหม่ลดลงถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว โดยพบว่าอัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่ในจีนในขณะนี้อยู่ที่ 18.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าสูงกว่าอัตราโดยเฉลี่ยถึง 3 เท่า
นายร็อกกี จาง ผู้อำนวยการการจัดการของบริษัทจัดหางาน แรนด์สแตดของจีนเปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่ตลาดแรงงานอยู่ในจุดต่ำสุดตั้งแต่ที่เขาเคยเห็นมา หลังจากทำงานอยู่ในแวดวงนี้มานานกว่า 20 ปี โดยยังพบว่าเงินเดือนที่คาดหวังของบัณฑิตจบใหม่ก็ลดต่ำลง 6.2 เปอร์เซ็นต์ด้วย
ปัจจัยจากเศรษฐกิจ
การที่จีนใช้มาตรการคุมโควิดที่เข้มงวด ได้ทำลายเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้วให้ยิ่งเป็นขาลง โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ ความกังวลด้านการเมือง และมาตรการเข้มงวดในการควบคุมโรคก็ส่งผลกระทบไปหมดทั้งด้านเทคโนโลยี การศึกษา รวมทั้งภาคส่วนอื่นๆ
เจนนี ไป่ เป็นหนึ่งในนักศึกษาระดับหัวกะทิของสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากหลายๆ มหาวิทยาลัยที่ได้รับการเสนองานโดยบริษัทอินเทอร์เน็ตที่มีชื่อเสียงในกรุงปักกิ่งทันที่จบการศึกษา ก่อนที่จะผ่านการสัมภาษณ์สุดหินอีกถึง 4 รอบ แต่เมื่อเดือนที่แล้ว ทางบริษัทกลับแจ้งมายังนักศึกษาว่า สัญญาจ้างงานของพวกเขาถูกยกเลิก เนื่องจากการระบาดของโควิด รวมทั้ง สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะสู้ดี ซึ่งไป่ยอมรับว่าเธอมีความกังวล ที่เธอยังไม่สามารถหางานทำได้ และยังไม่รู้ว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไป หลังจากที่เธอจบการศึกษาในเดือนนี้ไปแล้ว
...
แม้จะยังไม่มีผลชัดเจนว่าการที่นักศึกษาจบใหม่ตกงานเป็นจำนวนมากจะส่งผลอย่างไรต่อสังคมจีน แต่การดิ้นรนหางานของเด็กจบใหม่เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้แล้วว่าน่าจะเกิดขึ้น หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีน โดยภาวะเช่นนี้ได้สร้างแรงกดดันให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและอาจจะกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งกำลังตั้งเป้าที่จะบริหารประเทศต่อไปเป็นสมัยที่ 3
ศาสตราจารย์ไมเคิล เพตติส ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของมหาวิทยาลัยปักกิ่งระบุว่า สัญญาประชาคมของประชาชนกับรัฐบาลจีนก็คือ ขอให้ประชาชนอย่ายุ่งเรื่องการเมือง แล้วรัฐบาลจะรับประกันว่าปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้นทุกปี แต่เมื่อรัฐบาลไม่สามารถทำตามที่พูดได้ ก็อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ
นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง เคยระบุว่า การทำให้ตลาดแรงงานมีเสถียรภาพสำหรับบัณฑิตจบใหม่เป็นภารกิจสำคัญอันดับต้นๆ ของรัฐบาล บริษัทใดก็ตามที่เปิดรับให้บัณฑิตจบใหม่ฝึกงานจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ขณะที่วิสาหกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก และขนาดกลาง ที่เพิ่มการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่จะได้รับเงินอุดหนุนประกันสังคม สินเชื่อค้ำประกัน ส่วนลดดอกเบี้ย และการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียม รวมทั้งยังมีมาตรการต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมการจ้างงานด้วย ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นบางแห่ง จะเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่นักศึกษาจบใหม่เพื่อส่งเสริมให้ไปเปิดธุรกิจของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม นโยบายปราบปรามของภาครัฐก็ส่งผลให้การจ้างงานลดลงด้วย อย่างภาคธุรกิจด้านเทคโนโลยี ถือเป็นแหล่งงานสำคัญสำหรับบัณฑิตที่จบใหม่ แต่ปีนี้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกลับต้องการแรงงานน้อยลง เนื่องจากมีการปิดตัวลงของหลายๆ บริษัท จากนโยบายการปราบปรามจากภาครัฐ แม้แต่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างเทนเซ็นต์ และอาลีบาบา ก็ยังต้องลดพนักงานลงเป็นจำนวนมาก ทำให้มีคนต้องตกงานนับหมื่นอัตราในปีนี้
14,000 บริษัทปิดตัว หลังรัฐระงับการออกใบอนุญาตบริษัทเกม
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนเพิ่งจะเริ่มกลับมาออกใบอนุญาตใหม่ให้กับบริษัทผู้ผลิตเกมออนไลน์ หลังจากสั่งระงับการออกใบอนุญาตไปนานถึง 9 เดือน สืบเนื่องจากความต้องการของรัฐบาลจีนที่ต้องการจำกัดเวลาการเล่นเกมในหมู่เยาวชน และควบคุมเนื้อหาที่รุนแรง ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวทำให้บริษัทเกมขนาดกลางและขนาดเล็กราว 14,000 แห่งต้องปิดตัวลง ขณะที่ยักษ์ใหญ่อย่าง เทนเซ็นต์ และเน็ตอีส ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย และทำให้อุตสาหกรรมเกมในภาพรวมของประเทศจีนซบเซา
ขณะที่โรงเรียนเอกชน ที่มีแรงงานอยู่นับหมื่นคน ก็เป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่ถูกกฎข้อบังคับที่เข้มงวดต่างๆ เล่นงานอย่างบริษัทนิว ออเรียนทัล ก็ประกาศเลย์ออฟพนักงาน 60,000 คน ขณะที่อัตราการจ้างงานใหม่น้อยมาก แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเทนเซ็นต์ ก็มีการจ้างงานใหม่เพียงไม่กี่สิบคน เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีการจ้างพนักงานใหม่เพิ่มราว 200 คน โดยข้อมูลจากบริษัทจัดหางานอย่าง โรเบอร์ต วอลเตอร์สระบุว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีงบประมาณในการจ้างงานพนักงานใหม่ มักจะมองหาคนที่มีประสบการณ์แล้วมากกว่าเด็กที่เพิ่งจบใหม่
...
ยุคทองของการจ้างงานจบลงแล้ว
เจสัน หวัง ที่ทำงานเป็นเฮดฮันเตอร์ หรือ นักล่าหาคนทำงาน ซึ่งทำงานให้กับบริษัทด้านเทคโนโลยีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบุว่า ตอนนี้ มีแต่บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมที่รัฐหนุนหลังเท่านั้นที่ยังคงเปิดรับสมัครงานอยู่ และมองว่ายุคทองของการหางานทำในบริษัทด้านเทคโนโลยีจบลงไปแล้ว
ตามวัฒนธรมของประเทศจีน หากนักศึกษาจบใหม่ตกงานเป็นเวลานานมาสมัครงาน จะถูกมองในแง่ลบสำหรับนายจ้างทันที ซึ่งนั่นจะถือเป็นความอับอายของวงศ์ตระกูลมากกว่าที่จะมองว่าเป็นความโชคร้ายจากสภาพเศรษฐกิจ
นอกจากนี้หากบัณฑิตจบใหม่ไปหางานที่ใช้แรงงานทำในระหว่างรองานประจำ ก็อาจจะกลายเป็นประวัติที่ไม่ดี ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงช่องว่างระหว่างรอหางาน นักศึกษาจบใหม่ในจีนจึงหันไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทแทน โดยในปี 2022 มีผู้สมัครเพื่อสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทมากกว่า 4.6 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปี 2018 ที่มีผู้สมัครอยู่ที่ 2.4 ล้านคนเกือบเท่าตัว
ภาวะการตกงานของบัณฑิตจบใหม่ที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 20 ปีครั้งนี้ จึงไม่ใช่ปัญหาที่รัฐบาลจีนจะมองข้ามได้ ไม่เช่นนั้นปัญหานี้อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความอดทนของชาวจีนระเบิดออกมา หลังจากที่ต้องเผชิญกับความเดือดร้อนจากมาตรการคุมเข้มโควิด จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ และยังต้องเผชิญกับปัญหาปากท้องจากภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา.
ผู้เขียน : อาจุมมาโอปอล
ที่มา : รอยเตอร์ , เอเชียไฟแนนเชียล , อินเตอร์เนชั่นแนลบิสิเนสไทมส์
...