เป็นเวลากว่า 60 ปีที่ บี-52 สตราโตฟอร์เทรส เครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกลของ ทอ.สหรัฐฯ มาจนถึงปัจจุบัน และผู้เป็นสัญลักษณ์การถ่วงดุลอาวุธนิวเคลียร์ยุคสงครามเย็น จะคงบินอยู่ต่อไปจนถึงปี ค.ศ.2050
บี-52 สตราโตฟอร์เทรส (B-52 Stratofortress) เครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล ของกองทัพอากาศสหรัฐ สังกัด Air Force Global Strike Command โดยการปฏิบัติการล่าสุด คือ การบินในภารกิจโจมตีกว่า 1,800 ครั้ง ในการต่อต้านกลุ่มไอซิส ในอีรักและซีเรียในปี 2016 คืองานออกสื่อที่มีข่าวปรากฏตัว แต่ในยามปกติ ก็จะมีภาพการฝึกร่วมกับกองทัพ และฝูงบินต่างๆ อยู่สม่ำเสมอ ทั้งการฝึกร่วมกับกองกำลังนาโต การฝึกร่วมกับมิตรประเทศ ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย หรือ แม้แต่กองทัพอากาศไทย ก็เคยมีการส่งเครื่องบินไปฝึกบินร่วมกับ บี-52 มาแล้วเช่นกัน โดยเครื่องบินบี-52 นับเป็นอากาศยานหนึ่งในแบบที่เก่าแก่ที่สุดที่กองทัพสหรัฐฯ ยังคงประจำการนับจากเริ่มเข้าประจำการในช่วงสงครามเย็นยุคทศวรรษที่ 50
กำเนิดของ บี-52 ตำนานบอมบ์เบอร์สงครามเย็น
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 60 ปีก่อน เครื่องบินทิ้งระเบิดต้นแบบ YB-52 ขึ้นบินครั้งแรกในปี 1952 โดยบริษัทโบอิ้งผู้ผลิต ได้ออกแบบเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่นี้ โดยใช้พื้นฐานการออกแบบของเครื่องบินรุ่นก่อนหน้าอย่าง B-47 Stratojet ที่รูปทรงภายนอกคล้ายกัน ทั้งปีกเครื่องบินที่ลู่หลังเฉียงทำมุม 35 องศาฯ ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตของแพรต แอนด์ วิทนีย์ รุ่น J57 ติดตั้งใต้ปีก 8 เครื่องยนต์ บรรจุในกระเปาะ กระเปาะละ 2 เครื่องยนต์ ใช้ฐานล้อลงจอดแบบจักรยาน (มีล้อหน้าหลังขนานไปบนลำตัว) และล้อเสริมที่ส่วนปลายปีก สำหรับล้อหลัก สามารถเอียงได้ 20 องศาฯ เพื่อการลงจอดที่ปลอดภัยเมื่อเจอกับลมขวางสนามบิน จะได้เอียงเครื่องลงจอด ส่วนห้องนักบินของรุ่นต้นแบบ ยังเป็นแบบที่นั่งเรียงกันมีประทุนครอบที่นั่งนักบินเหมือนกับ บี-47 รุ่นก่อนหน้า
...

ต่อมาในปี 1954 เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 เอ ลำแรกได้ทะยานสู่ท้องฟ้า มันถูกผลิตออกมาเพียง 3 ลำในโลก เพื่อใช้ใช้ในการทดสอบการบินต่างๆ โดยในรุ่นบี-52 เอ มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นต้นแบบ คือ ห้องนักบินเปลี่ยนมาเป็นแบบนั่งคู่กัน ใช้ลูกเรือ 6 คน (pilot, copilot, weapon systems officer, navigator, electronic warfare officer และ พลปืนท้าย) ติดตั้งป้อมปืนท้ายที่เป็นปืนกล .50 คาลิเบอร์ 4 กระบอก และก่อนหน้านั้น 9 มิ.ย. ปี 1952 สัญญาการสั่งซื้อก็ได้รับการปรับปรุง เพื่อสั่งซื้อเครื่องบินภายใต้ข้อกำหนดใหม่ 10 ลำ
บี-52 ในรุ่นต่างที่ถูกผลิตออกมาใช้งาน
เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 ก็ได้เข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ในปี 1955 ในรุ่น บี-52 บี ที่มีการปรับปรุงไมเนอร์เชนจ์เพิ่มเติมจากรุ่นเอ ในส่วนเครื่องยนต์ และระบบเอวิโอนิกส์ โดยในปี 1955 โบอิ้งผลิตเครื่องรุ่นบี ลอตแรกมา 13 ลำรวมทั้งหมด 50 ลำ เครื่องบิน 27 ลำถูกปรับปรุงให้เป็น RB-52B ติดตั้งกระเปาะสำหรับการลาดตระเวนหาข่าวทางอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงสงครามเย็น ประกอบด้วย เครื่องรับสัญญาณวิทยุเพื่อใช้ในการดักฟังการสื่อสาร กล้องถ่ายภาพทางอากาศ ในเครื่องบินรุ่นนี้ จะเพิ่มลูกเรือจาก 5 คนเป็น 8 คน
บี-52 ซี รุ่นพัฒนาต่อจากรุ่น บี มีการเพิ่มปริมาณความจุเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเป็น 47,100 แกลลอน และติดตั้งถังเชื้อเพลิงภายนอกใต้ปีกอีกข้างละ 3,000 แกลลอน ทำให้น้ำหนักรวมเพิ่มขึ้นอีก 30,000 ปอนด์ เป็น 450,000 ปอนด์ ติดตั้งระบบควบคุมการยิงแบบใหม่ MD-9 เป็นครั้งแรก ในรุ่นนี้มีการทาเครื่องบินด้วยสีขาวพิเศษ เรียกว่า anti-flash white เพื่อใช้สะท้อนคลื่นความร้อนจากระเบิดนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังมี บางลำถูกดัดแปลงเป็นเครื่องลาดตระเวน RB-52C ด้วย

นับแต่นั้นบี-52 ก็ถูกผลิตออกมาหลายรุ่นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รุ่น เอ บี และ ซี รวม 90 ลำถูกผลิตที่โรงงานโบอิ้งในซีแอตเทิล ต่อมาเมื่อสายการผลิต บี-47 สิ้นสุด โรงงานผลิตเครื่องบินที่วิชิตา รัฐแคนซัส จึงรับช่วงการผลิต บี-52 รุ่นดี ต่อจากซีแอตเทิล เพราะเวลานั้นโบอิ้งได้เริ่มเปลี่ยนโรงงานผลิตเครื่องบินมาสร้างเครื่องบินโดยสารเต็มรูปแบบ สำหรับรุ่น ดี ถูกผลิตที่ซีแอตเทิล 101 เครื่อง ที่วิชิตา 69 เครื่อง
...
บี-52 ดี เครื่องบินทิ้งระเบิดที่มาสร้างชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักต่อสายตาชาวโลก เมื่อถูกนำมาใช้งานในสงครามเวียดนาม ในฐานะเครื่องบินทิ้งระเบิดระยะไกล โดยที่ไม่มีการทำรุ่นลาดตระเวน บี-52 ดี ถูกปรับปรุงมาให้แบกระเบิดไปให้ได้มากที่สุด เพื่อทิ้งระเบิดปูพรมเหนือเวียดนาม โดยบินขึ้นจากฐานทัพอากาศบนเกาะกวม และ อู่ตะเภา ใช้งานยาวนานมากที่สุดในสงครามเวียดนาม โดยเครื่องบินบี-52 ที่ใช้ในสงครามเวียดนาม จะทำสีพรางดำ เพื่อป้องกันแสงไฟฉายส่องมาเห็น ขณะบินโจมตีในเวลากลางคืน
ทั้ง 2 โรงงานยังคงเดินหน้าผลิตบี-52 รุ่นใหม่ ต่อมาอีก คราวนี้ คือ รุ่น บี-52 อี ผลิตที่ซีแอตเทิล 42 ลำและวิชิตา 58 ลำ รุ่น นี้มีการปรับปรุงอัปเกรดระบบเอวิโอนิกส์ และระบบนำทางการทิ้งระเบิดใหม่

ในรุ่น บี-52 เอฟ ผลิตที่โรงงานในซีแอตเทิล 44 ลำ วิชิตา 45 ลำ รุ่นเอฟเป็นการปรับปรุงในส่วนเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตรุ่นใหม่ J-57-P-43W พร้อมระบบวอเตอร์อินเจ็คชั่นที่ใหญ่ขึ้น เครื่องยนต์ใหม่ให้กำลังขับสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า พร้อมทั้งยังแก้ปัญหาในเรื่องถังเชื้อเพลิงรั่วอีกด้วย
...
แต่เมื่อเริ่มผลิต บี-52 จี โบอิ้งได้ย้ายฐานการผลิตไปไว้ที่โรงงานวิชิตาเต็มรูปแบบ และผลิตรุ่น อี ออกมารวม 193 ลำถือเป็นรุ่นที่ผลิตออกมามากที่สุด ในรุ่นนี้เป็นการยืดอายุการใช้งานเครื่องบิน บี-52 เนื่องจากความล่าช้าในการเข้าประจำการของเครื่องบินทิ้งระเบิดความเร็วเหนือเสียง บี-58 ฮัสเลอร์ (B-58 Hustler) โดยมีการออกแบบปีกใหม่พร้อมเครื่องยนต์ J-57 ปีกรุ่นใหม่ ที่เรียกว่า WET พร้อมถังเชื้อเพลิงด้านใน ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 38,000 ปอนด์ และติดตั้งถังเชื้อเพลิงด้านนอกขนาด 700 แกลลอนที่เป็นจุดแข็งใต้ปีก จมูกด้านหน้าถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น ตำแหน่งพลปืนท้าย ถูกย้ายมาอยู่ด้านหน้า หลังนักบิน แล้วควบคุมการยิงผ่านเรดาร์แทน อย่างไรก็ตาม เครื่องบินรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ถูกนำมาทำลายตามสนธิสัญญาการลดอาวุธ (START I) ช่วงปี 1991-1994 มากที่สุด โดยจะเห็นบี-52 จอดกลางทะเลทรายแล้วถูกหั่นเป็นชิ้นๆ กองเอาไว้ เพื่อให้ดาวเทียมของรัสเซียมองเห็น แต่ยังมีบางลำเหลือไว้โชว์ตามพิพิธภัณฑ์

...
สายการผลิตบี-52 ได้ดำเนินมาจนสิ้นสุดในปี 1962 ที่การผลิต บี-52 เอช รุ่นสุดท้ายถูกสร้างขึ้นมา 102 ลำ เครื่องบิน บี-52 เอช ต่อยอดมาจากบี-52 จี ทั้งในส่วนโครงสร้างต่างๆ เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่จากเครื่องยนต์ J-57 เดิม มาเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน TF-33-P-3 ที่มีความเชื่อถือได้มากขึ้น ลดเขม่าควันดำทิ้งเป็นทางยาวบนฟ้า และยังประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม ระบบเอวิโอนิกส์ ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ถูกอัปเกรดใหม่ มีระบบควบคุมการยิงใหม่ ส่วนป้อมปืนท้าย เปลี่ยนจากปืนกล .50 คาลิเบอร์ 4 กระบอกมาเป็น ปืนกลอากาศลำกล้องหมุน 20 มม. M-61 วัลแคน ควบคุมการยิงด้วยเรดาร์แทน
เครื่องบินบี-52 เอช เข้าประจำการครั้งแรกในปี 1961 สังกัดกองบัญชาการยุทธ์ทางอากาศสหรัฐ หรือ SAC โดย บี-52 เอช 14 ลำสุดท้ายจากสายการผลิตถูกส่งมอบให้ ทอ.สหรัฐฯ ในปี 1963 และยังคงถูกใช้งานอยู่ถึงทุกวันนี้ รวม บี-52 ทั้งหมดที่ผลิตออกมาทั้งสิ้น 744 ลำ
บี-52 ผู้ผ่านศึกสงครามเวียดนาม
เครื่องบิน บี-52 ได้ทำลายสถิติการบินของโลกหลายรายการนับตั้งแต่เริ่มเข้าประจำการในส่วนของระยะทางการบินและความเร็ว โดยเฉพาะการทำสถิติความเร็วในการบินรอบโลกเหลือเพียงครึ่งเดียว โดยเกิดขึ้นเมื่อ ม.ค. ปี 1962 เครื่องบินได้บินเป็นระยะทาง 12,500 ไมล์ หรือ 20,117 กิโลเมตร โดยไม่หยุดพักจากญี่ปุ่นไปสเปน โดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ เฉพาะเที่ยวบินนี้ทำลายสถิติไป 11 รายการ โดยการประจำการของบี-52 ทำให้สหรัฐฯ มีเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล เป็นรุ่นแรกที่มีขีดความสามารถบินในระดับสูงเกิน 50,000 ฟิต และทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ ทำให้การปฏิบัติการยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามภารกิจ รวมถึงการความสามารถในการบินทิ้งระเบิดระดับต่ำเพื่อทิ้งระเบิดธรรมดา

ในสงครามเวียดนาม เครื่องบินบี-52 บินจากฐานทัพอากาศแอนเดอร์สัน บนเกาะกวม และฐานทัพอากาศคลาร์ก ในฟิลิปปินส์ เพื่อทิ้งระเบิดต่อเป้าหมายที่มั่นของกองกำลังคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ โดยเป็นการปูพรมทิ้งระเบิด โดยเครื่องบินบี-52 ดี ถูกนับมาปรับปรุงติดตั้งรางยึดระเบิดใต้ปีกเสริม ที่ติดระเบิดได้ 24 ลูก นอกเหนือจากที่บรรทุกระเบิดภายในลำตัว ทำให้เพิ่มจำนวนระเบิดที่บรรทุกไปได้ จาก 24 ลูกเป็น 84 ลูก สำหรับระเบิดขนาด 500 ปอนด์ และ จาก 24 ลูกเป็น 42 ลูก สำหรับขนาด 750 ปอนด์ ทำให้บี-52 ดี สามารถบรรทุกระเบิดได้มากถึง 108 ลูก มากกว่า บี-52 เอฟ ที่ทำมาใช้งานก่อนหน้านั้น และในปี 1967 บี-52 เริ่มปฏิบัติการจากฐานบินอู่ตะเภา ทำให้ไม่ต้องบินไกลและเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศอีก รวมแล้วมีบี-52 ร่วมในสงครามครั้งนี้ 42 ลำ และ บี-52 ดี ของสหรัฐฯ ถูกขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานของเวียดนามยิงตกครั้งแรก ในวันที่ 20 พ.ย. ปี 1972 ขณะบินเข้าโจมตีเป้าหมายที่เมืองวิญ เครื่องบินเสียหายหนัก นักบินพยายามประคองนกยักษ์พิการ กลับเข้ามาในเขตประเทศไทย ก่อนจะสละเครื่อง
สหรัฐฯ สูญเสีย บี-52 จากการรบมากถึง 15 ลำในยุทธการไลน์เบเกอร์ ทู โดยเป็นการถูกยิงตก 5 ลำเสียหายหนัก (1 ลำตกในลาว) อีก 5 ลำได้รับความเสียหายระดับกลาง สูญเสียลูกเรือไป 25 นาย แต่ทางกองทัพเวียดนามระบุว่า สามารถยิงเครื่องบินบี-52 ตกถึง 34 ลำ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ รายงานว่า ตลอดสงครามเวียดนามเสียบี-52 จากการรบไป 31 ลำ รวม 10 ลำที่ถูกยิงตกเหนือเวียดนามแล้ว ประกอบด้วย 17 ลำถูกยิงตกในระหว่างทำภารกิจ จำหน่ายออก 2 ลำจากความเสียหายในการรบ และ 12 ลำจากอุบัติเหตุ โดยมี 1 ลำถูกแซมยิงเครื่องเสียหายหนัก นักบินประคองกลับมาลงจอดที่สนามบินในไทย แต่เครื่องไถลออกนอกรันเวย์ไปโดนกับระเบิดที่วางไว้ดักกลุ่มกองโจรที่จะโจมตีสนามบิน ทำให้มีลูกเรือรอดคนเดียวและเครื่องนี้ถูกนับว่าเป็นการตกโดยอุบัติเหตุ ไม่ได้นับว่าตกจากการถูกยิง

บี-52 ยิงเครื่องมิก-21 เวียดนามตกได้ด้วย
ในสงครามเวียดนาม มีการสู้รบทางอากาศที่บี-52 สามารถยิงเครื่องบินขับไล่มิก-21 ฟิชเบด ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นของเวียดนามเหนือ 18 ธ.ค. ปี 1972 ในยุทธการไลน์เบเกอร์ ทู พันจ่าอากาศตรีแซมมวล โอ.เทอร์เนอร์ พลปืนท้ายของ บี-52 ดี ได้เห็นเครื่องมิก-21 ต่างฝ่ายต่างเห็นกัน เทอร์เนอร์สาดกระสุนใส่มิก-21 ลำดังกล่าว จนเครื่องมิกระเบิดกลางอากาศ และการยิงครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากพลปืนท้ายของเครื่องบินอีกลำที่เห็นเหตุการณ์ โดยจ่าอากาศตรีเทอร์เนอร์ได้รับเหรียญซิลเวอร์สตาร์ จากความกล้าหาญในการต่อสู้กับเครื่องบินมิก โดยเครื่องบิน บี-52 ดี ที่มีตราเครื่องหมายยิงเครื่องมิกตก ปัจจุบันถูกตั้งแสดงที่ฐานทัพอากาศแฟร์ไชลด์ ทางตะวันตกของรัฐวอชิงตัน

ต่อมา 24 ธ.ค. ปีเดียวกัน เครื่องบิน บี-52 ชื่อ ไดมอนด์ ลิล (Diamond Lil) บินทิ้งระเบิดในยุทธการเดียวกัน เจอมิก-21 เขาประชิด จ่าอากาศตรี อัลเบิร์ต อี.มัวร์ พลปืนท้ายเครื่องบินลำดังกล่างสังเกตเห็นข้าศึกเข้าประชิด เข้าเหนี่ยวไกยิงมิก-21 จากระยะ 3,700 เมตร ทันทีที่ปรากฏในศูนย์เล็ง โดยยิงจนกระทั่งมิกหายไป พลปืนท้ายของเครื่องบินอีกลำให้ข้อมูลว่า เขาเห็นเครื่องมิกลำดังกล่าวไฟลุกแล้วตกลงไป อย่างไรก็ตามเวียดนามเหนือไม่ยืนยันถึงการสูญเสียดังกล่าว แต่ ก็ทำให้ มัวร์ กลายเป็นพลปืนคนสุดท้ายของสงครามที่ยิงเครื่องบินตก และเครื่องบิน บี-52 ไดมอนด์ ลิล ถูกนำไปแสดงที่ โรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐฯ ในรัฐโคโลราโด

บี-52 กับสงครามยุคใหม่หลังวิกฤติสงครามเย็น
ในบี-52 รุ่นเอช นอกจากระเบิดทั่วไปและระเบิดนิวเคลียร์แล้ว ยังสามารถติดตั้งอาวุธปล่อยร่อนโจมตีระยะไกลได้ 20 นัด โดยอาวุธร่อนเหล่านี้ติดตั้งหัวรบธรรมดา เพื่อปล่อยโจมตีจากอากาศในสถานการณ์ฉุกเฉิน เริ่มตั้งแต่ยุค 1990 ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย ยุทธการพายุทะเลทรายในอิรัก และยุทธการ Inherent Resolve เพื่อต่อต้านกับกลุ่มไอซิสในปี 2016 ในซีเรียและอิรัก
ในสงครามพายุทะเลทราย บี-52 มีความยืดหยุ่นในการโจมตีแบบวงกว้างต่อกำลังภาคพื้นดิน อาคารสถานที่ ทำให้ทำลายขวัญและกำลังใจกองกำลังรีพับลิกันการ์ดของอิรักอย่างมาก ในปี 1996 บี-52 เอช จำนวน 2 ลำเข้าโจมตีทำลายโรงไฟฟ้าและสถานีสื่อสารโทรคมนาคมของอิรัก ด้วยขีปนาวุธร่อนปล่อยจากอากาศ AGM-86C (CALCM) โดยเป็นการบินระยะไกลจากฐานทัพอากาศบาร์คสเดล (Barksdale Air Force Base) ในรัฐลุยเซียนา ด้วยการเดินทาง 34 ชั่วโมง ระยะทางไป-กลับ 16,000 ไมล์

ในปี 2001 บี-52 มีส่วนสนับสนุนในความสำเร็จของ ยุทธการ Enduring Freedom โดยให้ความสามารถในการบินเหนือสนามรบ และให้การสนับสนุนทางอากาศอย่างใกล้ชิดผ่านการใช้อาวุธระเบิดนำวิถีที่แม่นยำ บี-52 ยังมีบทบาทในยุทธการเสรีภาพอิรัก (Operation Iraqi Freedom) ด้วยการยิง CALCM ประมาณ 100 ลูกระหว่างปฏิบัติภารกิจกลางคืน 21 มีนาคม 2003
ต่อมาในปี 2016 บี-52 กลับสู่พื้นที่รับผิดชอบของ Central Command เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ เครื่องบินบี-52 ออกบินประมาณ 1,800 ครั้งในการสู้รบกับกองกำลัง ISIS ในซีเรียและอิรัก ส่งผลให้ลดกำลังของไอซิสในภูมิภาคนี้ได้

ในช่วงสงครามพายุทะเลทราย บี-52 ได้ทิ้งระเบิดคิดเป็นสัดส่วนจากระเบิดที่ทิ้งทั้งหมด 40% นอกจากนี้ อีกหน้าที่หนึ่ง คือ การลาดตระเวนทางทะเลที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพิสัยการบินที่ไกล จึงช่วยการทำงานของ กองทัพเรือสหรัฐฯ ในการต่อต้นเรือผิวน้ำ และ สงครามทุ่นระเบิด โดยในเวลา 2 ชั่วโมง บี-52 สามารถตรวจการณ์ท้องทะเล ได้ครอบคลุมพื้นที่ 364,000 ตารางกิโลเมตร
จนถึงปัจจุบันกองทัพอากาศสหรัฐฯ ยังคงประจำการเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 รุ่น เอช อยู่จำนวน 76 ลำ โดยมีฐานบินหลัก คือ ฐานทัพอากาศบาร์คสเดล รัฐลุยเซียนา ฐานทัพอากาศไมนอท รัฐนอร์ท ดาโกตา ภายใต้การควบคุมของ Air Force Global Strike Command
การอัปเกรดต่อชีวิต ยืดอายุคุณปู่ไปถึงปี 2050
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บี-52 สามารถปฏิบัติการบินตรวจการณ์ได้ดี คือ การที่ลูกเรือสวมหน้ากากมองในเวลากลางคืน (NVG) ในการบินทำให้สามารถมองในที่มืดได้ดี และยังทำให้การบินในเวลากลางคืนปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากมองเห็นภูมิประเทศได้ชัดเจน เป็นประโยชน์ทั้งยามสงบและยามสงคราม นอกจากนี้ยังช่วยให้ลูกเรือมีความตระหนักถึงสถานการณ์ได้มากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังติดตั้งระบบต่อต้านภัยคุกคาม ทั้งระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ เรดาร์แจมมิ่ง เป้าลวงอาวุธปล่อยทั้งพลุความร้อนและแผ่นอะลูมิเนียมสะท้อนลวงเรดาร์

บี-52 ยังติดตั้งอุปกรณ์ชี้เป้าขั้นก้าวหน้านั่นคือ กระเปาะไลท์นิ่ง (AN/AAQ-28(V) Litening targeting pod) ที่ทำให้บี-52 สามารถจับเป้าหมายได้จากระยะไกลดีขึ้่น มีเวลาในการระบุตัวตน เพื่อพิสูจน์ฝ่าย ให้การสนับสนุนกำลังภาคพื้นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งกลางวันและกลางคืน ในทุกสภาพอากาศ เพราะติดกล้องมองภาพในเวลากลางคืนคมชัดสูง รวมทั้งสามารถโจมตีภาคพื้นดินด้วยอาวุธปล่อยพิสัยไกล รวมทั้ง ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ ระเบิดนำวิถีด้วยจีพีเอส รวมทั้งระเบิดไม่นำวิถีทั่วไป
เมื่อไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ที่ผ่านมา กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ลงนามทำสัญญาให้บริษัทโรลส์-รอยซ์ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะโครงการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ ให้กับบี-52 โดยจะนำเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนรุ่น เอฟ-130 ทำสัญญาสั่งซื้อ 650 เครื่อง ใช้งานจริง 608 เครื่อง สำรองอะไหล่ 42 เครื่อง มูลค่ากว่า 2.6 พันล้านเหรียญฯ การเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ จะทำให้บี-52 ยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิง โดย ทอ.สหรัฐฯ หวังจะใช้งานต่อไปจนถึงปี ค.ศ.2050

อย่างไรก็ตาม แม้ บี-52 จะมีพิสัยการบินที่ไกล เมื่อใช้การเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ แต่ขึ้นอยู่กับความอึดของลูกเรือด้วย เนื่องจากการบินระยะไกลต้องมีเวลาพักเพื่อความปลอดภัย แต่สำหรับการบินที่ไม่เติมเชื้อเพลิงกลางอากาศจะบินได้ไกล 8,800 ไมล์ หรือ 14,080 กิโลเมตร
"Wise Guy" ถึงคราวปลุกผี บี-52 จากสุสาน กลับมาบินอีกครั้ง
ในวันที่ 16 พ.ค. ปี 2019 เครื่องบิน บี-52 เอช หมายเลข 60-034 ทะยานขึ้นท้องฟ้าจาก สุสานเครื่องบินรบ AMARG หลังได้รับการปรับคืนสภาพให้สามารถทำการบินได้ จากหน่วยซ่อมบำรุงอากาศยานที่ 309 ฐานทัพอากาศเดวิส มอนธาน รัฐแอริโซนา บนเครื่องบินลำนี้มีข้อความเขียนจารึกไว้ว่า AMARG นี่คือ 60-034 นักรบผู้เย็นชาที่ยืนหยัดอยู่ที่เหนือสุดของอเมริกาผู้ผ่านยุคสงครามเย็นมาจนถึงการต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย โปรดดูแลเธอให้ดี จนกว่าเราจะต้องการเธออีกครั้ง 2008 สำหรับ ชื่อของเครื่องลำนี้ คือ เครื่องบิน บี-52 เอช "Wise Guy" (ไวส์ กาย) มันถูกเก็บรักษาไว้กลางทะเลทรายเพื่อสำรองไว้ กรณีใช้งานในอนาคต เดิมที Wise Guy อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก มันถูกทิ้งไว้มากกว่า 11 ปี ฐานล้อหลังมีรอยแตกร้าว เครื่องยนต์หายไป 2 เครื่อง นอกจากนี้ยังต้องเปลี่ยนท่ออ่อน เซลล์เชื้อเพลิง และเปลี่ยนยางที่เสื่อมสภาพ เพื่อให้เครื่องกลับมาบินได้ แต่งานท้าทายเหล่านี้ก็ถูกจัดการซ่อมแซมโดยทีมช่างอากาศยานผู้ชำนาญ หลังจากคืนสภาพให้บินได้ Wise Guy ได้บินจากแอริโซนามายังฐานทัพอากาศบาร์คสเดล รัฐลุยเซียนา เพื่อเตรียมซ่อมอัปเกรดคืนสภาพให้อยู่ในสถานะพร้อมรบอีกครั้งหนึ่ง

ต่อเมื่อวันที่ 25 มี.ค.ปี 2021 ที่ผ่านมา เครื่องบิน Wise Guy เดินทางมายังฐานทัพอากาศทิงเกอร์ (Tinker Air Force Base) รัฐโอคลาโฮมา ก่อนที่ถูกส่งมายัง ศูนย์ขนส่งทางอากาศ โอคลาโฮมา ซิตี้ (OC-ALC : Oklahoma City Air Logistics Complex) มันใช้เวลาคืนสภาพ และอัปเกรดให้ทันสมัยนานร่วมปี ในการปรับปรุง 3 ระยะ เพื่อให้กลับมาอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน โดยเฉพาะการจัดการปัญหาที่ฐานล้อหลัง การเดินสายไปใหม่ทั้งหมด และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้น Wise Guy จะกลับเข้าประจำการในฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 5 ฐานทัพอากาศไมนอท (Minot AFB) รัฐนอร์ท ดาโกตา ทั้งนี้มันเป็น บี-52 ลำที่ 2 จากสุสานเครื่องบินที่ถูกนำกลับมาประจำการใหม่ ต่อจากรุ่นพี่อย่าง B-52H ที่มีชื่อว่า "โกสต์ไรเดอร์" (Ghost rider) ที่นำกลับมาเมื่อปี 2015.

ผู้เขียน : จุลดิส รัตนคำแปง
ข้อมูลอ้างอิง : บี-52 กองทัพอากาศสหรัฐ , โบอิ้ง บี-52 สตราโตฟอร์เทรส , วิกิพีเดีย B-52 Stratofortress , บี-52 Wise Guy
เครดิตภาพประกอบ : กองทัพอากาศสหรัฐ ประจำภาคพื้นแปซิฟิก , กองทัพอากาศสหรัฐ