“ผมว่าประเทศฟิลิปปินส์ยังไม่พร้อมที่จะไปผนึกรวมเศรษฐกิจการค้ากับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้” คำพูดที่ออกจากปากของ มร.มานูเอล วี.ปังกิลินัน มหาเศรษฐีชาวฟิลิปปินส์ เจ้าของบริษัททรงอิทธิพลมากมาย ในนามบริษัท ฟิลิปปินส์ ลอง ดีสแทนซ์ เทเลโฟน, เมโทร แปซิฟิค อินเวสเมนต์ คอร์ป และมะนิลา อิเล็กทริก จำกัด
“ที่ว่าไม่พร้อมนี่หมายถึง ชาวบ้านอาจมีการพูดถึง แต่ไม่รู้ความหมายจริงๆ ว่าคืออะไร ผมไม่ได้บอกว่าจะไม่เกิดขึ้น แต่คงไม่ใช่ชั่วอายุเราแน่ เพราะอย่าลืมว่าต้องอิงกับการเมืองด้วย ผมยกตัวอย่างเช่น ถ้าประเทศนำเข้าน้ำตาล ซึ่งมีราคาถูกกว่า และเป็นผลดีต่อผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์
แต่จะทำให้คนตกงาน 4 ล้านคน ถ้าคุณนั่งตำแหน่งผู้นำประเทศ คุณจะดูแลรับผิดชอบไหวเหรอ? ไม่มีทาง เป็นเรื่องฆ่าตัวตายชัดๆ แล้วไม่ว่านั่งเก้าอี้นี้ที่ประเทศไหน อินโดฯ มาเลย์ ก็เจอเหมือนกันหมด
แล้วมีบุคลากรสำคัญ เช่น ทนาย บัญชี หรือนางพยาบาล ไหลทะลักไปอยู่สิงคโปร์หรือเปล่า? ก็เปล่า ถามว่าทำไม? เพราะพวกแพทย์ ทนาย พยาบาลที่นั่นเค้ารวมตัวกันบ่นว่าคนฟิลิปปินส์กำลังเข้าไปแย่งงานพวกเขา แล้วโดยธรรมชาติ รัฐบาลก็ต้องปกป้องคนของตัวเองก่อนอยู่แล้ว
เมื่อเป็นอย่างนี้ การรวมตัวกันของประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นได้ที่ไหนกัน?”
แต่ดูไปก็ช่างสวนทางกับข้อมูลเชิงตรรกะที่ว่า ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่พูดภาษาอังกฤษกว้างขวางที่สุดในหมู่เพื่อนพ้องอาเซียนด้วยกัน แล้วฐานการเป็นสมาชิกเฟซบุ๊กก็ใหญ่เป็นอันดับ 8 ตั้งแต่ พ.ศ.2553 มีคนใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 531% ซึ่งถือว่าประเทศมีความพร้อมมาก
ติดอยู่ปัญหานิดเดียวก็ตรงที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 98% ยังติดนิสัยการจ่ายสินค้าด้วยเงินสดมากกว่าระบบที่เรียกว่า E-payment ทำให้ภาครัฐเร่งเดินหน้าติดตั้งฐานระบบการชำระทางออนไลน์ ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมธุรกิจภาคท้องถิ่น ยังขยายฐานตลาดทั่วโลกและทั่วอาเซียน
...
ด้านรัฐบาลก็เริ่มเจรจาไปแล้วกับประเทศในกลุ่มอาเซียนเรื่องตั้งระบบเครื่องเบิกถอนเงินสด ATM Asean เพื่อลดความซ้ำซ้อนทั้งค้าขายและการเดินทาง อีกทั้งยังทำให้เป็นระบบมาตรฐานการโอนจ่ายออนไลน์
ดูๆ แล้วอาจจะจริงอย่างที่บางคอมเมนต์วิจารณ์ว่า นายปังกิลินันกีดกันกลัวคู่แข่งต่างชาติมาแย่งพื้นที่หากินมากกว่า...
ฤทัยรัช จันทร์เพ็ญ