จะมีอะไรอันตรายยิ่งกว่าสัตว์ที่กลายไปเป็นพระเจ้า ซึ่งไม่เคยรู้จักพอ และไม่มีความรับผิดชอบ ผู้ไม่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไรกันแน่?! นั่นล่ะคือนิยามของ “มนุษย์”
เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว สิ่งมีชีวิตในสปีชีส์ “โฮโมเซเปียนส์” ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ยังเป็นแค่สัตว์ที่ไม่สลักสำคัญชนิดหนึ่ง หากินอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่ภายในเวลาไม่กี่สหัสวรรษต่อมา พวกเขาเปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็นผู้ปกครองโลกทั้งใบ พร้อมกับเป็นผู้ทำลายล้างระบบนิเวศ และนำพาหายนะไปสู่สัตว์ร่วมโลก
ทำไมสัตว์ธรรมดาๆ ชนิดหนึ่ง ที่บังเอิญมีวิวัฒนาการต่างจากสัตว์ร่วมโลกสปีชีส์อื่นๆ เช่น มีความสามารถในการใช้ภาษาติดต่อสื่อสาร, ยืนตัวตรงได้, หยิบจับสิ่งของได้ และมีความสามารถในการใช้มือสร้างเครื่องมือต่างๆเอาชนะภัยรอบตัว จึงเปลี่ยนตัวเองจนเป็น “คนเหนือสัตว์” ปกครองโลกได้
ปริศนาลับนี้ถูกไขไว้ในหนังสือเบสต์เซลเลอร์โลก “Sapiens : A Brief History of Humankind” เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวยิว “ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” ตีพิมพ์เป็นภาษาฮีบรูว์เมื่อปี 2011 ก่อนนำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ ในปี 2014 และแปลเป็นภาษาอื่นๆมากกว่า 50 ภาษา รวมถึงภาษาไทย แถมยังติดอันดับหนังสือขายดีขึ้นหิ้งตลอดกาล ที่ได้รับคำชื่นชมจากคนดังไอคอนโลก ตั้งแต่ “บิล เกตส์”, “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” ไปจนถึง “มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก”
ถ้าอยากรู้อนาคตของโลกยุคใหม่ ให้ย้อนอดีตไปดูประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นแสนเป็นล้านปี จากสัตว์ที่ไม่สลัก สำคัญ มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงลิงชิมแปนซี เพิ่งจะเมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เริ่มรู้จักคิดอย่างมีเหตุมีผล และสามารถทำความเข้าใจเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “การปฏิวัติการรับรู้” มีการก่อรูปโครงสร้างสังคมที่ประณีตมากขึ้นจนกลายเป็นวัฒนธรรม
...
กระทั่งเมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับยุคน้ำแข็ง มนุษย์เริ่มออกเดินทางอพยพจากทวีปแอฟริกาเข้าครอบครองพื้นที่ส่วนต่างๆของโลก พร้อมสะสมองค์ความรู้และถ่ายทอดข้อมูลให้กันและกัน นำไปสู่การรวมตัวเป็นสังคมของเหล่านักล่า จนเป็นที่มาของ “การปฏิวัติเกษตรกรรม” มนุษย์เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการอาศัยในถ้ำ, เดินหากินอยู่ในป่า และล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ มาเป็นการปลูกพืชทำการเกษตร และรวมตัวกันอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง รู้จักสร้างเมืองสร้างหมู่บ้าน เพาะปลูกทำการเกษตรเลี้ยงครอบครัว และเพิ่งจะ 11,000 ปีก่อนนี่เอง ที่เริ่มมีระบบการปกครองเกิดขึ้นเพื่อควบคุมให้สังคมสงบสุข, มีกฎเกณฑ์ของสังคม, เริ่มมีการใช้เงินทองเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนสินค้า, เกิดชนชั้น วรรณะ, เกิดแนวคิด ลัทธิ ศาสนา และเกิดสงครามแก่งแย่งกันเอง
กระนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้มนุษย์จองหองไม่รู้จักพอเกิดขึ้นหลัง “การปฏิวัติวิทยาศาสตร์” เมื่อ 500 ปีก่อน มนุษย์เริ่มอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆทางธรรมชาติด้วยเหตุผลวิทยาศาสตร์ แทนที่จะเชื่อว่าทุกอย่างเกิดจากบัญชาของพระเจ้า หรือภูตผีปีศาจ คนดังของยุคคือ “กาลิเลโอ” ที่พิสูจน์ว่าโลกกลมไม่ใช่แบน
ยิ่งไม่มีอะไรมาฉุดรั้งความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ เมื่อการปฏิวัติวิทยา ศาสตร์ก่อให้เกิด “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ตามมาในอีก 250 ปี ความสามารถในการผลิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากการใช้แรงงานคนและสัตว์ หันมาใช้เครื่องจักรไอน้ำพลังความร้อนของ “เจมส์ วัตต์” เพิ่มศักยภาพการผลิตได้อย่างมหาศาล ในยุคนี้เองที่ลัทธิทุนนิยมและความได้เปรียบของบางจักรวรรดิแผ่ขยายอาณาเขตไปครึ่งโลก
ท่ามกลางความรุ่งเรืองถึงขีดสุดของมนุษย์ ที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 1950-1959 จากการให้กำเนิดคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ตามมาด้วยอีกสารพัดเทคโนโลยีพลิกโฉมโลก นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องอย่าง “สตีเฟน ฮอว์กิ้ง” กลับทำนายว่า มีโอกาสสูงมากที่มนุษย์จะสูญพันธุ์ภายในเวลาไม่เกิน 1,000 ปีนับจากนี้ เพราะถูกกลืนกินด้วยความทะยานอยากไม่รู้จักพอ
น่าเสียดายที่มนุษย์บังคับควบคุมสิ่งแวดล้อมได้, เพิ่มผลผลิตอาหารได้,สร้างจักรวรรดิใหญ่โตได้, สร้างเครือข่ายการค้ากว้างไกลไร้พรมแดน แถมฝันสร้างโลกเสมือน และจะบุกไปตั้งถิ่นฐานใหม่นอกอวกาศ แต่พวกเรากลับลดความทุกข์ยากของมนุษย์ไม่ได้ และนำหายนภัยมาสู่สัตว์ร่วมโลกอย่างไม่หยุดหย่อน ถ้ามนุษย์จะสูญพันธุ์ก็ไม่ใช่เพราะใคร นอกจากน้ำมือตัวเอง!!
มิสแซฟไฟร์