ใครรอดใครร่วงถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่จนถึงปี 2041 ก็เตรียมรับมือกับการยึดครองโลกของ AI ได้เลย เพราะในอีก 20 ปีข้างหน้า จะเกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกโฉมกับทุกภาคอุตสาหกรรม และลุกลามไปถึงการใช้ชีวิตของมนุษย์ทั้งโลก ชนิดที่ว่าวิกฤติโควิด-19 กลายเป็นเรื่องจิ๊บๆไปเลย
บทบาทน่าสะพรึงของ AI ในอีก 20 ปีข้างหน้า ถูกไขปริศนาโดย “ไค-ฟู ลี” นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกันเชื้อสายไต้หวัน ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์แถวหน้าของโลก ตอนลุกขึ้นมาจับปากกาเขียนหนังสือ “AI SUPERPOWERS : CHINA, SILICON VALLEY AND THE NEW WORLD ORDER” เมื่อปี 2018 ก็ฮือฮาไปทั้งโลก และกลายเป็นคัมภีร์สำคัญที่ใช้กำหนดทิศทางการพัฒนา AI มาจนถึงวันนี้ โดยครั้งนั้นเขาฟันธงว่า มหาอำนาจอย่างอเมริกาและจีนจะแข่งกันใช้เทคโนโลยีปัญญาประ ดิษฐ์เป็นอาวุธ เพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำโลกยุคใหม่
“ไค-ฟู ลี” เคยเตือนไว้หลายอย่าง ซึ่งก็แม่นสุดๆซะด้วย เขาย้ำอีกครั้งว่า AI จะเป็นภัยคุกคามต่อการจ้างงานทั้งโลก ไม่ต่างจากในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่คนตกงานเป็นเบือ โดยเป้าหมายที่จะถูกแทนที่ด้วย AI ภายใน 5 ปีข้างหน้า คือกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ทำงานซ้ำๆเหมือนเดิม จำพวกงานดูแลเอกสารต่างๆ...เสียใจด้วยพวกคุณไม่ได้ไปต่อ!! เตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านได้เลย เพราะ AI สามารถเข้ามาเรียนรู้พัฒนา และทำงานแทนที่คนกลุ่มนี้ได้อย่างไร้ที่ติ
ยิ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายออฟฟิศโยกไปทำงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น เลยยิ่งเห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของ AI ไม่เชื่อลองถามซีอีโอใหญ่บริษัทไฟแนนซ์กู้จำนองชื่อดังของอเมริกา Better.com ว่าทำไมสั่งปลดพนักงานได้รวดเดียว 900 คน ผ่านวิดีโอคอลซูม โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที นี่มันฝันร้ายของคนทำงานยุคดิสรัปชันชัดๆ เหตุผลที่อ้างคือ ต้องเร่งปรับองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับตลาดการซื้อขายบ้านที่แข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่าน
...
นอกจากการดิสรัปงานบางอย่างของมนุษย์แล้ว ในอีก 20 ปีข้างหน้า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขย่าโลกเปลี่ยนแลนด์สเคปทุกอย่างของโครงสร้างอุตสาหกรรม, ภาคเศรษฐกิจ, ภาคธุรกิจและสังคม แค่ขอเวลาอีกนิดในการสะสมพละกำลัง เพื่อพัฒนาตัวเองให้เกิดการเรียนรู้เชิงลึกจากมนุษย์ ก็ปัญญาประดิษฐ์คือความฉลาดเทียมที่สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบมนุษย์ ยิ่งถูกใช้มากเท่าไหร่ เป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ AI ก็จะยิ่งฉลาดขึ้นมากเท่านั้น ก็เพราะเหตุนี้เขาจึงเชื่อว่าจีนอาจแซงหน้าอเมริกาขึ้นเป็นผู้นำโลกในด้าน AI เนื่องจากความได้เปรียบในด้านประชากรของจีน ทำให้เกิดการรวมตัว ของชุดข้อมูลขนาดใหญ่ มีดาต้าของประชาชนจำนวนมากให้ AI ได้เรียนรู้ไม่รู้จบ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ AI ไม่มีทางไล่ตามมนุษย์ทันคือ ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์, ความเห็นอกเห็นใจ, การสร้างทีม และการสร้างความเข้าใจกับผู้อื่น ฉะนั้น อาชีพการงานที่ต้องอาศัยทักษะเหล่านี้ก็ยังอยู่รอดปลอดภัย ไม่ต้องถูกแทนที่ด้วย AI
ถ้าจะลงทุนกับ AI ควรพุ่งเป้าไปที่ไหนดี “ไค-ฟู ลี” เฉลยว่า มี 3 ธุรกิจแห่งอนาคตที่จะได้ประโยชน์เต็มๆจากการพัฒนาของ AI นั่นคือ “ธุรกิจด้านยานพาหนะ” เช่น ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับ และรถยนต์ไฟฟ้า EV, “การพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ” ใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติในการขับเคลื่อนการผลิตและ “ธุรกิจเฮลธ์แคร์” AI จะช่วยวินิจฉัยโรคได้ตรงจุดมากขึ้น เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการรักษา เชื่อว่าต่อไปเราอาจได้ใช้ AI ทำนายล่วงหน้าถึงโรคระบาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเตือนภัยให้มนุษย์รับมืออย่างทันท่วงที
ระหว่างการกลัว AI จะมาแย่งงาน และรุกล้ำความเป็นส่วนตัว เทียบกับประโยชน์มหาศาลของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก...ต้องชั่งน้ำหนักว่าอะไรสำคัญกว่ากัน.
มิสแซฟไฟร์