หลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาการทบทวนยุทธศาสตร์การจัดวางกำลังทหาร ของสหรัฐฯ เมื่อ 29 พ.ย. กระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ได้เผยแผนการปรับปรุงยกระดับและขยายฐานทัพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมถึงการเสริมกำลังทหารจากพื้นที่อื่นๆมาประจำการให้มากขึ้น เพื่อพร้อมรับมือกับความท้าทายจากจีน รัสเซีย และภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากเกาหลีเหนือ เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงความสำคัญด้านความมั่นคงของภูมิภาคนี้ ในขณะที่ยังคงรักษากองกำลังในตะวันออกกลางให้เพียงพอต่อการรับมืออิหร่านและกลุ่มนักรบญิฮาด

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงแห่งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก “ออกัส” ของสหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย เพื่อแบ่งปันข้อมูล ข่าวกรอง และเทคโนโลยีเพื่อตอบโต้การขยายอิทธิพลของจีนที่กำลังเติบโต ทั้งนี้ แม้รายละเอียดของการทบทวนยุทธศาสตร์การจัดวางกำลังทหารดังกล่าวจะไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากเป็นความลับ แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม สหรัฐฯกล่าวเพียงว่าจะมีการอัปเกรดสนามบินและสถานที่จัดเก็บเชื้อเพลิงและอาวุธยุทโธปกรณ์ในกวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา และออสเตรเลีย

ที่ผ่านมาสหรัฐฯ เพิ่มกองกำลังในอินโด-แปซิฟิกบางส่วนแล้ว โดยมีการประจำการถาวรของฝูงบินเฮลิคอปเตอร์โจมตีและกองบัญชาการกองปืนใหญ่ที่เคยเป็นการประจำการหมุนเวียนในเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงต้นปี ยังทุ่มงบประมาณหลายพันล้านเหรียญเพื่อปรับปรุงอู่ต่อเรือที่กวมและที่อื่นที่ไม่ระบุในอินโด-แปซิฟิก นอกจากนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาสถานที่สร้างฐานทัพอากาศทั่วทั้งภูมิภาค ขณะที่ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ออสเตรเลียก็เผยว่าจะใช้เงิน 750 ล้านดอลลาร์ ยกระดับฐานทัพเรือ 4 แห่ง เพื่อให้สามารถซ้อมรบทางทะเลกับสหรัฐฯได้มากขึ้น

...

อย่างไรก็ตาม ตะวันออกกลางยังคงเป็นพื้นที่สำคัญที่กองทัพสหรัฐฯ ยังต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยถือว่าเป็นความรับชอบระดับโลก แม้จะสิ้นสุดสงครามอันยาวนานในอิรักและอัฟกานิสถานแล้วก็ตาม โดยย้ำว่าสหรัฐฯ ต้องมีความสามารถในการนำกองกำลังไปยังภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว หากเกิดภัยคุกคาม และก่อนหน้านี้กระทรวงกลาโหมยังประกาศแผนการขยายกำลังทหารของสหรัฐฯ ในเยอรมนีอีก 500 นาย รวมถึงยุติแผนการตัดกำลังทหารขนาดใหญ่ที่เป็นคำสั่งมาจากสมัยอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

นอกจากให้ความสำคัญกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่สหรัฐฯยืนยันว่าเพิ่มกองกำลังประจำการทีละน้อย โดยจะได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันสหรัฐฯ และยุโรปยังแสดงความกังวลต่อการสะสมกองกำลังรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครน ท่ามกลางความกังวลว่ารัสเซียอาจกำลังวางแผนโจมตียูเครนก็เป็นได้.