รัฐบาลอังกฤษยังยืนยันไม่บังคับใช้ แผน B ในการควบคุมโควิด-19 ที่กำลังกลับมาระบาดรุนแรงในประเทศ แม้จะพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 49,000 รายในวันเดียวแล้วก็ตาม
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหราชอาณาจักรรายงานพบผู้ติดเชื้อในช่วง 24 ชั่วโมงจนถึงวันอังคารที่ 19 ต.ค. 2564 ที่ 43,738 ราย ลดลงจากเมื่อวันจันทร์ที่มีผู้ติดเชื้อถึง 49,156 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ขณะที่ค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อรายวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ทะลุ 44,000 ราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนถึง 16%
สหราชอาณาจักรยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ทั้งหมดรวมถึงการสวมหน้ากากในที่ร่มและการเว้นระยะห่าง ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่ไวรัสไม่ได้หายไปด้วย พวกเขายังคงมีผู้ติดเชื้อวันละหลายหมื่นราย และตอนนี้กลายเป็นประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดในยุโรป จนนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลใช้แผน B ของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน เพื่อกลับมาใช้มาตรการควบคุมการระบาดอีกครั้ง และเร่งการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3
อย่างไรก็ตาม นายแม็กซ์ เบลน โฆษกสำนักงานนายกรัฐมนตรีระบุว่า “เรารู้เสมอว่า 2-3 เดือนข้างหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย แต่รัฐบาลกำลังพยายามปกป้องทั้งชีวิตและการใช้ชีวิตของผู้คน” “แน่นอนว่าเรากำลังจับตามองการเพิ่มขึ้นของอัตราการติดเชื้อย่างใกล้ชิดมากๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการส่งข้อความให้สังคมเข้าใจว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเรื่องสำคัญมาก” แต่ไม่มีแผนจะใช้ แผน B ในตอนนี้
ทั้งนี้ ข้อมูลสถิติแสดงให้เห็นว่า ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงต่อโควิด-19 ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนจำนวน 8.5 ล้านคน มีเพียง 3.7 ล้านคนเท่านั้นที่ได้รับวัคซีนเข็ม 3 แล้ว ท่ามกลางรายงานว่า ภูมิคุ้มกันในตัวผู้รับวัคซีนจะเริ่มลดลงหลังจากเวลาผ่านไปราว 6 เดือน
...
ขณะที่มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอังกฤษจะตัดสินใจใช้ แผน B ในช่วงฤดูหนาวซึ่งกำลังจะมาถึง โดยนายจอห์นสัน ยอมรับเมื่อเดือนก่อนว่า ประเทศอาจต้องกลับไปใช้มาตรการอย่างเช่น บังคับสวมหน้ากาก และใช้บัตรผ่านวัคซีน หากจำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเพิ่มขึ้นจะระบบสาธารณสุขรับไม่ไหว