ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้หญิงที่ตั้งครรภ์ควรรับวัคซีนต้านโควิด-19 จากผลวิจัยที่ยืนยันว่าวัคซีนไม่ส่งผลอันตรายใดๆ ต่อการตั้งครรภ์ และไม่ทำให้แท้งลูกอย่างที่หลายฝ่ายกังวล
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา หรือซีดีซี ยืนยันข้อมูลจากการศึกษาวิจัย ยังไม่พบว่าการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 จะทำให้เกิดอันตรายแก่หญิงที่ตั้งครรภ์ โดยอัตราการแท้งบุตรหลังจากได้รับวัคซีนไม่แตกต่างจากอัตราการแท้งลูกตามปกติ ดังนั้น หญิงตั้งครรภ์ควรรีบเข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ทางการอนุมัติทั้ง 3 ยี่ห้อไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โดยให้ปรึกษากับแพทย์ที่ฝากครรภ์

โดยปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มหญิงมีครรภ์ อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ โดยมีการรับวัคซีนโดสแรกแล้วเพียง 23 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทางการสหรัฐฯต้องการให้อัตราการฉีดวัคซีนของหญิงมีครรภ์เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้หญิงเหล่านี้ได้รับการปกป้อง โดยพิจารณาจากประโยชน์ของวัคซีนที่มีมากกว่าผลข้างเคียงหลายร้อยเท่า โดยซีดีซีพบว่า หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงที่จะมีอาการป่วยด้วยโควิด-19 อย่างรุนแรง และหากติดเชื้อโควิด-19 ในระหว่างตั้งครรภ์จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดด้วย
...
นอกจากกลุ่มหญิงตั้งครรภ์แล้ว ขณะนี้ซีดีซี กำลังเร่งกระตุ้นให้กลุ่มประชากรวัย 12 ปีขึ้นไป หญิงที่กำลังให้นมบุตร รวมทั้งหญิงที่กำลังเตรียมแผนจะมีบุตร เข้ารับวัคซีนต้านโควิด-19 กันให้มากขึ้น โดยขอให้ทำความเข้าใจและรับข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้อง อย่าหลงเชื่อข่าวลือ หรือความเชื่อผิดๆ ที่ไม่มีหลักฐานรองรับ
โดยคำแนะนำล่าสุดนี้ มีขึ้นหลังจากที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทั่วประเทศในรอบเดือนที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่าโรงพยาบาลหลายแห่งในอาร์คันซอ ฟลอริดา ลุยเซียนา และมิสซิสซิปปี ไม่มีเตียงพอที่จะรองรับคนไข้แล้ว โดยยังพบการระบาดของโควิด-19 อย่งหนักทางตอนใต้ของประเทศ ทั้งรัฐโอเรกอนและวอชิงตันด้วย.
ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย