ยิ่งฉีดวัคซีนมากเท่าไร ก็มีโอกาสกลับมาเปิดเมืองเหมือนเดิมมากขึ้นเท่านั้น
คำกล่าวนี้ คือสภาพความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่มชาติตะวันตก ที่สามารถฉีดวัคซีนตามปริมาณที่กำหนด ให้แก่ 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรหรือมากกว่า อย่างในสหรัฐฯฉีดครบโดสแล้ว 162 ล้านคน คิดเป็น 49.2 เปอร์เซ็นต์ เยอรมนีครบโดส 39.3 ล้านคน คิดเป็น 47.3 เปอร์เซ็นต์ อังกฤษครบโดส 36.2 ล้านคน คิดเป็น 54.4 เปอร์เซ็นต์ ฝรั่งเศสครบโดส 28.5 ล้านคน คิดเป็น 42.5 เปอร์เซ็นต์ อิตาลีครบโดส 27.2 ล้านคน คิดเป็น 45.1 เปอร์เซ็นต์ สเปนครบโดส 24.3 ล้านคน คิดเป็น 51.9 เปอร์เซ็นต์
จนทางการสามารถตัดสินใจ “เดิมพัน” เปิดเมือง คลายล็อกดาวน์ ผ่อนมาตรการป้องกัน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น และเยียวยาจิตใจของประชาชนที่เผชิญกับความหดหู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนเมื่อ 19 ก.ค. ที่อังกฤษประกาศวันเสรีภาพเปิดเมืองเต็มรูปแบบ ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย-รักษาระยะห่าง หรือเนเธอร์แลนด์ หรือสหรัฐอเมริกา ที่นำร่องไปก่อนหน้านี้ บรรยากาศแห่งความสุขเหมือนจะกลับคืนมา
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปสูงที่ภาพเก่าในช่วงปลายปีก่อนจะกลับมา คือ คลายล็อก-เปิดเมือง-เริ่มป้องกันรอบใหม่ หลังโลก
อยู่ระหว่างการเผชิญหน้ากับเชื้อโควิดกลายพันธุ์ ที่ปรับปรุงคุณสมบัติของตัวเองให้ร้ายกาจกว่าเดิม ซึ่ง ณ เพลานี้ คงไม่ใช่ตัวไหน นอกจาก “เดลตา” (B.1.617) ที่สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันของผู้ที่เคยติดโควิด-19 ผู้ที่ฉีดวัคซีนไปสักระยะ ทั้งติดต่อได้ง่าย และขยายตัวในร่างกายได้ง่ายกว่าเดิม
ยกตัวอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ที่คนส่วนใหญ่ เชื่อว่ากลับสู่ภาวะปกติแล้ว เพราะเป็นแหล่งผลิตหลักของวัคซีนไฟเซอร์-โมเดอร์นา ก็เหมือนกำลังคืบคลายเข้าสู่ห้วงอันตราย นับตั้งแต่การฉลองวันชาติ 4 ก.ค. เป็นต้นมา
...
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งเป้าว่าภายในวันชาติ 4 ก.ค.นั้น ประชากรสหรัฐฯกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ควรจะได้รับการฉีดวัคซีน ครบโดส แต่สุดท้ายทำไม่ได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากมีปัญหาที่แก้ไม่ตกเรื่อง “ความลังเลต่อการฉีดวัคซีน” ซึ่งปัจจัยหนึ่งมาจากการเชื่อข้อมูลข่าวสารที่แพร่สะพัดในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทำลายความเชื่อมั่นในตัววัคซีนยี่ห้อต่างๆ รวมถึงปั่นกระแสต่อต้านวัคซีน ไปจนถึงชูทฤษฎีสมคบคิดอันแสนจะบิดเบี้ยวว่า การฉีดวัคซีนคือแผนการที่รัฐบาลต้องการฝังชิปสอดแนมประชาชน
จากการตรวจสอบโดยศูนย์ต่อต้านการแสดงความเกลียดชังทางออนไลน์พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า ข้อมูลผิดๆและการปั่นกระแสด้านลบเกี่ยวกับวัคซีน มาจากคนเพียง 12 คนเท่านั้น หรือที่ถูกขนานนามว่ากลุ่ม “ดิสอินฟอร์เมชัน โดเซน” ซึ่งคนเหล่านี้มีทั้งแพทย์ทางเลือก นักเพาะกาย นักศาสนา บล็อกเกอร์ด้านสุขภาพ ไปจนถึงนักการเมือง โดยเฉพาะในแพลตฟอร์ม “เฟซบุ๊ก” อย่างเดียว พบว่าข้อมูลผิดๆกว่า 73 เปอร์เซ็นต์ มาจากคนกลุ่มนี้ทั้งสิ้น
จึงไม่แปลกว่า ภายในเดือนเดียว ประธานา-ธิบดีโจ ไบเดน ต้องออกแถลงการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า โจมตีว่าข้อมูลเพี้ยนในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกำลัง “ฆ่าประชาชน” เนื่องด้วยพบว่า อัตราการฉีดวัคซีนของประชาชนอเมริกัน กำลังลดอย่างน่าใจหาย จากช่วงเดือน เม.ย. ฉีดกันวันละกว่า 2 ล้านคน มาเดือนนี้ ลดลงเหลือวันละ 400,000 คน และเหลือคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนกว่า 90 ล้านคน
แน่นอนผลที่ตามมาของการฉีดวัคซีนไม่ได้ตามเป้า ส่งผลให้ไวรัสร้ายกลับมาผงาดอีกครั้ง ในรัฐชนบทอย่างอาร์คันซอ มิสซูรี แคนซัส หลุยเซียนา ถูกเดลตาเข้ายึดครอง รัฐแคลิฟอร์เนียต้องหวนกลับมาใช้มาตรการสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้ง ขณะที่ในภาพรวมทั่วประเทศ หน่วยงานสาธารณสุขประเมินว่า เชื้อกลายพันธุ์เดลตาครองสัดส่วน 83 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐฯ
สอดคล้องกับข้อมูลของแอนโธนี เฟาซี ที่ปรึกษาทำเนียบขาวด้านโรคติดต่อของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยด้วยเช่นกันว่า อัตราการติดเชื้อในช่วง 2 สัปดาห์ พุ่งขึ้นในระดับ 195 เปอร์เซ็นต์ จำนวนผู้ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 46 เปอร์เซ็นต์ และค่าเฉลี่ยการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 42 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญคือ ตลอดช่วง 6 เดือน ที่ผ่านมา ผู้เสียชีวิตกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ คือกลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว
แต่ในขณะเดียวกัน ข้อมูลอย่างเป็นทางการที่เกี่ยวกับวัคซีน ก็ไม่ได้ทำให้คนติดตามข่าวสารรู้สึกเบาใจ องค์การอาหารและยาแห่งชาติ สหรัฐฯ (FDA) ประกาศให้วัคซีนประเภท mRNA มี “โอกาสต่ำ” ที่จะเกิดผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในกลุ่มประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี เช่นเดียวกับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่เกิดปัญหาระงับการผลิตชั่วคราว เนื่องจากมีปัญหาเรื่องมาตรฐานการผลิต เช่นเดียวกับผลข้างเคียงโอกาสต่ำเช่นกันว่าอาจทำให้เกิดอาการกิลแลง-บาร์เร ภูมิคุ้มกันทำลายระบบประสาทในร่างกายตัวเอง จนเสี่ยงอัมพาตหรือเสียชีวิต
ทั้งหมดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ปัจจัยการกังวลเรื่องวัคซีนและการลุกลามของเชื้อกลายพันธุ์เดลตา จะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯกลับมาอยู่ที่ระดับกว่า 60,000 คนต่อวัน เสียชีวิตกว่า 300 คนต่อวัน
และทำไมประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถึงออกมาอ้อนวอนอย่างต่อเนื่อง “ได้โปรดเถิด ได้โปรดไปรับการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแล้วตอนนี้”.
...
วีรพจน์ อินทรพันธ์