เมื่อวันที่ 14 พ.ค. กองทัพอิสราเอลได้ปฏิบัติการทางทหารต่อฉนวนกาซา ฐานที่มั่นของกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์กลุ่มฮามาส ต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 สืบเนื่องจากความขัดแย้งรอบใหม่ ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 7 ปี ที่ปะทุจากการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่อิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ในกรุงเยรูซาเล็ม จนนำไปสู่การยิงจรวดโจมตีใส่อิสราเอล และการตอบโต้กลับจากกองทัพอิสราเอล

ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กองทัพอิสราเอลได้ยกระดับการโจมตี โดยมีการใช้กองกำลังภาคพื้นดินเพิ่มเติมจากการโจมตีทางอากาศเพียงอย่างเดียว แต่ยืนยันว่ายังไม่มีการเคลื่อนทหารราบเข้าไปในฉนวนกาซาตามที่มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่าอิสราเอลได้ร่างแผนการรุกทางภาคพื้นดินไว้แล้ว เป็นการโจมตีทางบกด้วยปืนใหญ่และปืนใหญ่ของรถถัง เพื่อยิงถล่มเป้าหมายทางการทหารของกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา

ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขในฉนวนกาซา เปิดเผยว่าการโจมตีของอิสราเอลส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 119 คน ในจำนวนนี้รวมเด็ก 31 คน ส่วนในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 8 คน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่า ยังไม่แน่ชัดว่าอิสราเอลจะดำเนินการเคลื่อนพลเข้าไปในฉนวนกาซาหรือไม่ แต่จากแผนที่ได้รับเปิดเผยเบื้องต้นทราบว่ากองทัพอิสราเอลได้มีคำสั่งให้กำลังเตรียมรบ พร้อมระดมกำลังพลสำรองเพิ่ม 7,000 นาย และยกเลิกคำสั่งพักร้อนของกำลังพลประจำการทั้งหมด

วันเดียวกัน กลุ่มสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า กองกำลังอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ต้องไม่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศซ้ำอีก ซึ่งนำไปสู่การสังหารและทำให้พลเรือนได้รับบาดเจ็บ แบบเดียวกับสงครามที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งก่อนหน้านี้

...

นายซาเลห์ ฮีกาซี รอง ผอ.ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ แอมเนสตี้ฯยังกล่าวว่า กังวลว่าจะมีการนองเลือดของพลเรือนที่เพิ่มขึ้น ต่างมีพันธกรณีอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่จะต้องคุ้มครองพลเรือน ต้องรำลึกว่าในปัจจุบันศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อมูลอย่างเต็มที่ ต้องไม่คิดเอาเองว่าจะสามารถลอยนวลพ้นผิดจากการละเมิดแบบที่ผ่านๆมาได้ แอมเนสตี้ขอเรียกร้องประชาคมโลก สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งสหรัฐฯให้ประณามอย่างเปิดเผยต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และกดดันคู่กรณีของความขัดแย้งทุกฝ่ายให้คุ้มครองพลเรือน พร้อมต้องกดดันอิสราเอลให้แก้ไขสาเหตุที่รากเหง้า.