องุ่นพันธุ์ไชน์มัสแคท (Shine Muscat) ถูกปรับปรุงพันธุ์ขึ้นในปี พ.ศ.2531 ที่ประเทศญี่ปุ่น ขึ้นทะเบียนพันธุ์ในปี พ.ศ.2549 มีลักษณะเด่นคือ ผลกลม ขนาดใหญ่ ผิวสีเขียวอ่อนสวยงามเหมือนกำมะหยี่ เนื้อแน่น ไม่แตกง่าย กรอบ หวาน อร่อย ไม่ฝาด ทนร้อนและหนาวเย็นได้ดี ที่สำคัญด้วยรสชาติหวานละมุนลิ้น

เลยกลายเป็นองุ่นพันธุ์ยอดนิยม มีราคาสูงถึง กก.ละ 2,000-5,000 บาท

ในเมืองไทยของเรารู้จักองุ่นพันธุ์นี้มาระยะหนึ่ง จนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว มีการนำมาปลูกในพื้นที่ภาคเหนือ ตอนล่างและพื้นที่อื่น แม้ระยะเก็บเกี่ยวจะเร็วกว่าประเทศเจ้าของพันธุ์ (ญี่ปุ่นเก็บเกี่ยว 80 วัน ไทยเก็บเกี่ยว 70 วัน) แต่ผลผลิตยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก

เพราะได้ลูกสีเขียวอมเหลือง ไม่เขียวเหมือนพันธุ์ต้นฉบับ ไม่มีความกรอบ ที่สำคัญไม่สามารถทำให้ไร้เมล็ดได้

“ผมและทีมงานได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ในการเดินทางไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2562 เพื่อนำเทคนิคการปลูกองุ่นพันธุ์ไชน์มัสแคท ขั้นตอนต่างๆ การดูแลบำรุงรักษา จากประเทศเจ้าของสายพันธุ์ มาประยุกต์ใช้กับองุ่นบ้านเรา กระทั่งได้สูตรสำเร็จ ตอบโจทย์ ทั้งในเรื่องของสี ลักษณะผล ความหวานกรอบ และไร้เมล็ด”

...

ผศ.ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก บอกถึงที่มาของการปลูกองุ่นไชน์มัสแคทได้ไม่ต่างจากประเทศเจ้าของสายพันธุ์

แต่การปลูกต้องทำในโรงเรือนเพื่อป้องกันโรค แมลง โดยเฉพาะโรคแอนแทรกโนส ที่ทำให้ลูกบุบ หรือที่ชาวบ้านเรียก “อีบุบ”

วิธีการปลูก ...โรงเรือนควรหันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อให้ต้นองุ่นได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน เพราะองุ่นพันธุ์นี้ชอบสภาพอากาศกลางวันและกลางคืนที่แตกต่างกันมากๆ ดินปลูกต้องให้มีอินทรียวัตถุเยอะๆ หากไม่มีต้องปรุงดินก่อน โดยขุดหลุมฝังอินทรียวัตถุก่อนปลูก ขุดหลุมปลูกขนาดกว้าง 70 ซม. ยาว 70 ซม. ลึก 30 ซม. ระยะห่างระหว่างต้นและแถว 6×8 เมตร ส่วนค้างองุ่น นิยมใช้ค้างแบบราวตากผ้า สูงประมาณ 1.80 เมตร ขึงลวดห่างกัน 25 ซม. ให้ตึงระหว่างหัวกับท้ายแปลง

การให้ปุ๋ย...ระยะที่ต้นยังเล็ก หรือยังไม่ได้ตัดแต่ง ควรใส่ปุ๋ย สูตร 15-0-0 สูตร 15-15-15 สูตร 20-20-20 สูตร 12-24-12 ปริมาณเท่ากันผสมให้เข้ากัน ใส่ต้นละ 300-500 กรัมร่วมกับปุ๋ยคอกต้นละ 1 กก. เดือนละครั้ง

หมั่นลิดกิ่งข้าง เพื่อให้ธาตุอาหารไปเลี้ยงต้นแม่ให้ต้นเจริญเติบโตได้เต็มที่ และได้รับแสงอย่างเต็มที่ เมื่อต้นสูงถึงค้าง สามารถเลือกได้ตามใจชอบจะปลูกเป็นรูปตัว T หรือ H ปลูกครบ 1 ปี ค้างจะสมบูรณ์ เมื่ออยากเร่งให้ออกดอก ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 และสูตร 0-52-34 ปริมาณ 20-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทางใบ ภายใน 1-2 อาทิตย์ จะเริ่มเห็นดอก

หมั่นตัดแต่งกิ่งด้วยกรรไกรอยู่เสมอ เลือกกิ่งที่แก่จัด สีน้ำตาล เว้นระยะห่างระหว่างกิ่ง 20-25 ซม. เมื่อช่อดอกออก ให้รูดด้านบนทิ้งเหลือให้ช่อดอกยาว 4-5 ซม. เท่านั้น และตัดช่อที่ไม่สมบูรณ์ รูปร่างไม่สวยทิ้ง เพื่อความสมบูรณ์ของผลที่จะออกมา

การให้น้ำควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ระยะติดผลและผลกำลังพัฒนาห้ามขาดน้ำเด็ดขาด ที่สำคัญระยะก่อนเก็บผลผลิต 1-2 อาทิตย์ ควรงดการให้น้ำ หรือรดน้ำให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพดี

เทคนิคที่ทำให้องุ่นไม่มีเมล็ด พร้อมกับทำให้สีผิวสวยงามสม่ำเสมอ ไม่กร้าน ขนาดผลใหญ่ และช่อใหญ่ รสชาติหวาน

หลังดอกบานเต็มที่ 1-3 วัน จุ่มช่อดอกลงในสารละลายที่มีสเตรปโตมัยซิน ความเข้มข้น 200 ppm ร่วมกับจิบเบอเรลลิคแอซิด ความเข้มข้น 25 ppm และ CPPU ความเข้มข้น 5 ppm จุ่มนาน 1 นาที จึงดึงช่อดอกออก ถัดมาอีก 14 วัน ให้จุ่มด้วยจิบเบอเรลลิคแอซิด ความเข้มข้น 25 ppm อย่างเดียวอีกครั้ง เมื่อติดลูกให้เอาลูกไว้

...

ช่อละ 35-40 ลูกเท่านั้น เพื่อไม่ให้ลูกเบียดกันจนได้พวงองุ่นที่ลูกใหญ่ ผิวสวย เป็นที่ต้องการของตลาด

หลังจากตัดแต่งผลแล้ว ควรห่อผลเพื่อป้องกันแมลงและนก รวมทั้งทำให้องุ่นผิวสวย ลูกใหญ่ เมื่อเก็บผลองุ่นหมดแล้ว ต้องปล่อยให้ต้นองุ่นพักตัว 1-2 เดือน เพื่อให้ต้นได้สะสมอาหาร ระยะนี้ควรให้น้ำเป็นครั้งคราว ไม่ให้ดินแห้งเกินไป...สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-1971-3510.

กรวัฒน์ วีนิล