- โจ ไบเดน เผชิญกับอุปสรรค ปัญหามากมายกว่าจะได้ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดในชีวิตการเมืองของเขา ในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
- ชีวิตส่วนตัวของไบเดนต้องเผชิญกับวิบากกรรม ไม่ต่างจากบทละคร สูญเสียคนที่รักไปโดยไม่คาดคิด จนเกือบทำให้เขาหันหลังให้การเมืองมาแล้วหลายครั้ง
- ไบเดนพลาดหวังจากการสมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่เขาไม่เคยย่อท้อ และมาประสบความสำเร็จตามที่ฝันในช่วงบั้นปลายชีวิตในที่สุด
โจ ไบเดน เตรียมตัวเพื่อจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีมาเกือบทั้งชีวิต 33 ปี หลังจากที่เขาลงชิงตำแหน่งเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก และ 48 ปี หลังจากที่เขาลงเล่นการเมืองระดับชาติ ในที่สุด เขาก็ได้ก้าวถึงจุดหมายที่หวัง ในการขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐฯคนที่ 46 อย่างเต็มภาคภูมิ ในวันที่ 20 มกราคม 2564
...
ชีวิตในวัยเด็ก
โจ ไบเดน ต้องเผชิญกับอุปสรรค ปัญหามากมายกว่าจะได้ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดในชีวิตการเมืองของเขา จากลูกชายเซลส์ขายรถ ต้องย้ายบ้านมาปักหลักในเดลาแวร์ โดยในวัย 7 ขวบ เขาเคยเขียนรายงานส่งอาจารย์ว่าเขาฝันอยากเป็นประธานาธิบดี จนได้เข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิก และมหาวิทยาลัยของรัฐ แต่เขาก็ไม่เคยละทิ้งความฝันที่จะเป็นผู้นำประเทศ แต่เส้นทางการเมืองกว่าจะถึงวันนี้ของเขาไม่ได้ราบรื่นสวยหรูดังเช่นที่ผู้นำสหรัฐฯหลายคนเคยผ่านมา
เส้นทางการเมือง
โจ ไบเดน จบด้านประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และกฎหมาย จนพรรคเดโมแครตเห็นแวว เสนอให้เขาลงชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภารัฐเดลาแวร์ สู้กับเจ้าถิ่นเดิมจากพรรครีพับลิกัน จนในปี 2515 ขณะที่เขาอายุ 29 ปี เขาก็สามารถชนะการเลือกตั้ง กลายเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นลำดับที่ 5 ในประวัติศาสตร์อเมริกัน และยังเป็นบันไดสำคัญให้เขา เข้ามาสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว อย่างไรก็ตาม โชคชะตาดูเหมือนจะเล่นตลกให้เขาต้องเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่ของชีวิต เมื่อภรรยาและลูกๆ ประสบอุบัติเหตุ ขณะที่พวกเขาเตรียมฉลองคริสต์มาส ส่งผลให้เนลเลียร์ ฮันเตอร์ ภรรยา และลูกสาวคนเล็กที่ยังเป็นทารกเสียชีวิต ส่วนลูกชายอีก 2 คน คือโบและฮันเตอร์บาดเจ็บสาหัส ซึ่งนี่เกือบจะเป็นจุดเปลี่ยนให้เขาต้องทิ้งความฝัน ออกจากเส้นทางการเมืองเพื่อมาดูแลลูกชายที่ป่วยหนัก แต่กลับเผชิญเสียงคัดค้านจนทำให้เขาเปลี่ยนใจเดินหน้าบนเส้นทางการเมืองต่อไป จนสาธารณชนได้เห็นภาพที่ นายโจ ไบเดน สาบานตนเป็นสมาชิกวุฒิสภาข้างเตียงในโรงพยาบาล โดยมีโบ ลูกชายวัย 4 ปี นอนป่วยอยู่เบื้องหน้า พร้อมๆ กับมีเรื่องเล่าว่า นายไบเดน ยอมนั่งรถไฟไปกลับ 3 ชั่วโมงเป็นระยะทางไกลกว่า 200 ไมล์ทุกวัน เพื่อไปทำงานเป็นสมาชิกวุฒิสภาที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และกลับบ้านไปดูแลลูกที่รัฐเดลาแวร์ และจากนั้นมาเขาก็ยังครองเก้าอี้วุฒิสมาชิกเดลาแวร์มาได้ถึง 6 สมัย จนนับเป็นวุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์ที่ครองเก้าอี้ติดต่อกันยาวนานที่สุด
ความรักครั้งใหม่
ในปี 1975 ขณะที่ โจ ไบเดน วัย 33 ปี และยังคงดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก พี่ชายของเขาก็แนะนำให้รู้จักกับ จิล หญิงสาว นักศึกษาวัย 24 ปี
ในเดือนมิถุนายน ปี 1977 ทั้งคู่ได้ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน หลังจากที่ ไบเดน ขอ จิลแต่งงานถึงห้าครั้ง ซึ่ง นางจิล ได้เปิดใจกับนิตยสารโว้ก ว่าเหตุผลที่ทำให้เธอลังเลไม่ยอมแต่งงานกับเขาในตอนแรก เป็นเพราะเธอไม่อยากให้ลูกชายของนายไบเดนทั้งสองคน ที่เคยสูญเสียแม่ไป ต้องเสียใจอีก เธอจึงตอบตกลงในวันที่เธอแน่ใจว่าเธอและเขาจะสามารถครองชีวิตคู่ด้วยกันได้ จนกระทั่งทั้งคู่มีพยานรักด้วยกันหนึ่งคนคือ แอชลีย์ ไบเดน
เส้นทางสู่ทำเนียบขาว
ก้าวสำคัญในชีวิตการเมืองของนายไบเดนเกิดขึ้นในวันที่เขามีอายุ 46 ปี โดยเขาประกาศตัวชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในปี 2531 แต่แล้วเขาก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาว่า คัดลอกสุนทรพจน์มาจากนายนิล คินนิค หัวหน้าพรรคแรงงานอังกฤษ แถมยังแต่งประวัติการศึกษาในสาขานิติศาสตร์ให้สวยหรูเกินจริง จนทำให้เขาต้องถอนตัวในที่สุด แต่เขาก็ไม่เคยละความพยายาม
...
ถัดจากนั้น 20 ปี ไบเดน เสนอตัวเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2551 แต่เขาก็มีแรงสนับสนุนไม่มากพอเมื่อเทียบกับนักการเมืองหนุ่มไฟแรง อย่างนายบารัค โอบามา จนต้องเปิดทางให้นายโอบามา ในขณะที่ไบเดนลงสนามสู้ศึกในฐานะผู้ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะ ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นคู่หูที่เข้ากันได้ดี ตลอดการดำรงตำแหน่ง 2 สมัย
...
ในปี 2015 นายโจ ไบเดน ต้องเจอมรสุมชีวิตอีกรอบเมื่อต้องสูญเสียลูกชาย โบ ไบเดน ไปด้วยโรคมะเร็งสมอง ทำให้เขาเศร้าโศกเสียใจ และปฏิเสธที่จะลงสมัครเข้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของวาระการดำรงตำแหน่งร่วมกัน นายโอบามา ได้มอบเหรียญเกียรติยศด้านเสรีภาพให้กับนายไบเดน เพื่อยืนยันถึงมิตรภาพอันแนบแน่นของทั้งคู่ จนนายไบเดนถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความตื้นตันออกมา กลายเป็นภาพประทับใจที่หลายคนยังคงจดจำได้จนทุกวันนี้
...
ใครจะคาดคิดว่าในอีก 12 ปีต่อมา นายไบเดนจะประสบความสำเร็จ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุดในวัย 78 ปี และชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนป๊อบปูลาร์โหวตถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม การถ่ายโอนอำนาจเข้าสู่ทำเนียบขาวของไบเดน ก็มีอุปสรรคไม่น้อย เมื่อผู้แพ้อย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ หาทางประวิงเวลาทุกทาง และไม่เคยกล่าวแสดงความยินดีต่อชัยชนะของนายไบเดน ตามธรรมเนียมที่ผู้นำสหรัฐฯเคยปฏิบัติมา อีกทั้งยังประกาศจะไม่มาเข้าร่วมในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของนายไบเดนอีกด้วย ท่ามกลางความกังวลจากหลายฝ่ายที่เกรงว่าจะมีเหตุจลาจลในวันที่ 20 มกราคมนี้ ซ้ำรอยเหตุจลาจลที่หน้ารัฐสภา ซึ่งจะทำให้ก้าวแรกในการเข้ามาเป็นผู้นำสหรัฐฯ อย่างเต็มตัวของไบเดนวันแรก อาจต้องมาสะดุดลงอีกครั้ง
ผู้เขียน : อาจุมม่าโอปอล
ที่มา : เอ็นวายเดลี่นิวส์ดอทคอม, เอเอฟอาร์ดอทคอม, รอยเตอร์