- วันคริสต์มาส เป็นเทศกาลทางศาสนาเพื่อรำลึกวันประสูติของ พระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ จัดขึ้นในวันที่ 25 ธ.ค. ของทุกปี แต่ว่าวันดักล่าวตรงกับวันประสูติของพระเยซูหรือไม่
- เทศกาลคริสต์มาส ผ่านช่วงเวลามากมายในประวัติศาสตร์ จากงานฉลองรื่นเริ่ง กลายมาเป็นงานรวมตัวสำหรับครอบครัวอย่างในปัจจุบัน
- เมื่อพูดถึงคริสต์มาส ก็ต้องนึกถึงซานตาคลอส ชายคนนี้เป็นใคร มีตัวตนจริงหรือเป็นเพียงเรื่องแต่งกันแน่

วันคริสต์มาส ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เป็นเทศกาลทางศาสนาเพื่อรำลึกวันประสูติของ พระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ ที่พวกเขาเชื่อกันว่าพระองค์เป็นโอรสของเทพแห่งพระอาทิตย์ โดยคำว่า คริสต์มาส มาจากคำว่า ‘Mass of Christ’ หรือ ‘พิธีมิสซาของพระคริสต์’
ตอนนี้ คริสต์มาสเป็นเทศกาลที่ทั่วโลกต่างร่วมเฉลิมฉลอง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชาวคริสต์หรือไม่ แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ คริสต์มาสต้องผ่านอะไรมาบ้าง จุดเริ่มต้นของเทศกาลนี้อยู่ตรงไหน และวันที่ 25 ธ.ค. ใช่วันประสูติของพระเยซูหรือไม่
...

โลกฉลองเทศกาลฤดูหนาวตั้งแต่ก่อนพระเยซูประสูติ
การจัดงานเฉลิมฉลองช่วงกลางฤดูหนาวเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลกตั้งแต่ก่อนพระเยซู คริสต์ ประสูติเสียอีก ชาวยุโรปยุคแรกฉลองเทศกาลแห่งแสงและการถือกำเนิด ในวันที่กลางคืนยาวนานที่สุดของฤดูหนาว คือ ‘วันเหมายัน’ (อ่านว่า เห-มา-ยัน) หรือในภาษาอังกฤษคือ ‘winter solstice’ ซึ่งเกิดขึ้นช่วงวันที่ 21-22 ธ.ค. เพื่อต้อนรับฤดูใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ในสแกนดิเนเวีย ชาวนอร์ส หรือยุโรปเหนือ มีพิธีฉลองวันเหมายันที่เรียกว่า ‘ยูล’ (Yule) ตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค. ไปจนถึงเดือนมกราคม ซึ่งจะมีการเผาท่อนไม้ตามความเชื่อว่า ประกายไฟที่เกิดคือลูกวัวหรือหมูที่จะมาเกิดในปีหน้า ส่วนในยุโรปตะวันออกมีงานเทศกาลที่เรียกว่า ‘โคลิเอดา’ (Koliada) ผู้คนจะฆ่าปศุสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้ เพื่อเป็นอาหารตลอดทั้งฤดูหนาว ส่วนสุราที่บ่มไว้ตั้งแต่เทศกาลเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงก็จะบ่มได้ที่พอดี
ขณะที่อาณาจักรโรมัน ซึ่งฤดูหนาวไม่รุนแรงนัก มีเทศกาลชื่อ ‘แซตเทอร์นาเลีย’ (Saturnalia) ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันเหมายันเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อสรรเสริญเทพเจ้า แซตเทิร์น เทพแห่งการเกษตร ในช่วงนี้ ทุกคนจะเริ่มฉลองโดยไม่สนฐานะทางสังคม ธุรกิจและโรงเรียนจะปิดทั้งหมด เพื่อให้คนไปร่วมเทศกาล

วันคริสต์มาส คือวันประสูติพระเยซู?
ในช่วงปีแรกๆ ของศาสนาคริสต์ วันอีสเตอร์ถือเป็นวันหยุดหลักของพวกเขา โดยที่ไม่มีการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู กระทั่งในศตวรรษที่ 4 คริสตจักรตัดสินใจตั้งให้วันประสูติของพระเยซูเป็นวันหยุด แต่ปัญหาคือ คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ระบุว่า ศาสดาของพวกเขาเกิดในวันอะไร แม้จะมีหลักฐานจำนวนหนึ่งชี้ว่า พระองค์เกินในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
อย่างไรก็ตาม พระสันตะปาปา จูเลียสที่ 1 ทรงเลือกวันที่ 25 ธ.ค.เป็นวันฉลองวันประสูติของพระเยซู โดยเชื่อกันทั่วไปว่า คริสตจักรเลือกวันดังกล่าวเพราะต้องการรับและซึมซับวัฒนากรรมของเทศกาล แซตเทอร์นาเลีย เข้ามา โดยในตอนแรกใช้ชื่อว่า ‘งานฉลองแห่งการประสูติ’ (Feast of the Nativity) ก่อนที่ประเพณีนี้จะแพร่กระจายไปยังอียิปต์ในปีค.ศ. 432 และ อังกฤษในช่วงสิ้นศตวรรษที่ 6
งานฉลองแห่งการประสูติ ได้รับความนิยมในหมู่ชาวคริสต์อย่างรวดเร็ว โดยในช่วงยุคกลาง ศาสนาคริสต์ได้เขาแทนที่ลัทธินอกศาสนา (pagan) เกือบทั้งหมด แต่คริสตจักรไม่สามารถควบคุมได้ว่าใครจะฉลองเทศกาลอย่างไร โดยบ่อยครั้งผู้ศรัทธาจะฉลองคริสต์มาสด้วยการไปโบสถ์ จากนั้นก็จัดงานรื่นเริงจนเมามาย บรรดาขอทานเพื่อขออาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งหาเจ้าของบ้านไม่ให้ก็จะถูกขอทานแกล้งต่างๆ นาๆ
ในยุคนั้น คริสต์มาสกลายเป็นช่วงเวลา จุดหนึ่งของปี ที่คนชั้นสูงกว่าจะต้องตอบแทนสังคม ด้วยการสร้างความบันเทิงให้กับผู้ด้อยโอกาสกว่า
...

คริสต์มาสเคยถูกยกเลิกด้วย
กาลเวลาผ่านไปจนถึงศตวรรษที่ 17 ยุโรปผ่านการปฏิรูปศาสนามากมายจนการฉลองคริสต์มาสเปลี่ยนไป ก่อนที่โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ กับกองกำลังฝ่ายพิวริตันของเขา ที่เชื่อว่าการปฏิรูปศาสนาในอังกฤษยังไม่เพียงพอ ลุกฮือขึ้นยึดครองอังกฤษในปีค.ศ. 1645 พร้อมประกาศกร้าวว่า จะกำจัดความเสื่อมโทรมของอังกฤษให้หมดไป รวมถึงยกเลิกงานฉลองคริสต์มาสด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ก็ทนเสียงเรียกร้องจากประชาชนไม่ไหว และอนุญาตให้จัดงานคริสต์มาสตามเดิม
ที่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ฝ่ายแบ่งแยกตนเองชาวอังกฤษ ซึ่งเดินทางไปถึงอเมริกาในปี 1620 มีแนวคิดทางศาสนาที่เคร่งครัดยิ่งกว่าครอมเวลล์เสียอีก ส่งผลให้วันคริสต์มาสไม่ได้เป็นวันหยุดของอเมริกา โดยในช่วงปี 1659-1681 การจัดงานคริสต์มาสถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายในบางพื้นที่ด้วย และหลังการปฏิวัติอเมริกัน วัฒนธรรมอังกฤษก็ยิ่งเสื่อมความนิยมลงไปอีก และต้องรออีกร่วม 200 ปี กว่าที่วันคริสต์มาสจะกลายเป็นวันหยุดแห่งชาติของอเมริกา
...

นักเขียนเปลี่ยนโฉมคริสต์มาส
ชาวอเมริกันเริ่มยอมรับในเทศกาลคริสต์มาสหลังจากเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 โดยพวกเขาสร้างคริสต์มาสขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนการฉลองสไตล์งานคาร์นิวัล ให้กลายเป็นวันรวมตัวกันของครอบครัว ซึ่งผู้จุดประกายให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นคือนักเขียนที่ชื่อว่า วอชิงตัน เออร์วิง
ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ของอเมริกันนั้น เป็นช่วงที่มีการปะทะกันในเรื่องชนชั้นอย่างกว้างขวาง อัตราว่างงานสูงลิ่ว และกลุ่มแก๊งต่างๆ มักก่อเหตุจลาจลในช่วงเทศกาลคริสต์มาส จนในปี 1828 สภาปกครองนิวยอร์กได้จัดตั้งหน่วยตำรวจชุดแรกที่มีหน้าที่จัดการกับการจลาจลในวันคริสต์มาส ซึ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ชนชั้นสูงจำนวนหนึ่ง ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงวันคริสต์มาสในอเมริกา
พวกเขาใช้เรื่องราวในหนังสือของ วอชิงตัน เออร์วิง ที่ชื่อว่า ‘The Sketchbook of Geoffrey Crayon, gent.’ ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 1819 เป็นต้นแบบ โดยหนังสือของเออร์วิงเป็นเรื่องราวของ ผู้ดีบ้านนอกคนหนึ่งที่เชิญกลุ่มคนชั้นล่างเข้ามาร่วมฉลองวันหยุดในบ้านของเขา ตรงข้ามกับสถานการณ์ในอเมริกาตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง
...

ในความคิดของเออร์วิง คริสต์มาสควรเป็นเทศกาลแห่งสันติสุข เป็นวันหยุดอันอบอุ่นที่นำคนหลายๆ กลุ่มมารวมตัวกันโดยก้าวข้ามเส้นแย่งทางฐานะ และสถานะทางสังคม เขายังเขียนถึงทำเนียมปฏิบัติโบราณมากมาย จนนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันจำนวนมากยกย่องว่า เออร์วิงเป็นผู้สร้างประเพณีขึ้นมาใหม่อย่างแท้จริง
หลังจากนั้น ชาวอเมริกันก็เริ่มยอมรับประเพณีคริสต์มาสในฐานะ วันรวมญาติ โดยรัฐบาลประกาศให้เทศกาลนี้เป็นวันหยุดแห่งชาติในวันที่ 26 มิ.ย. 1870 และตลอด 150 ปีจนถึงทุกวันนี้ ชาวอเมริกันได้ปรับปรุงวัฒนกรรมการจัดงานคริสต์มาสของตัวเอง โดยรวมกับทำเนียมปฏิบัติจากที่อื่นมากมาย รวมทั้งการประดับต้นไม้, การส่งการ์ดอวยพร และ การมอบของขวัญ

ซานตาคลอสเป็นใคร?
หนึ่งในสิ่งที่ทุกคนต้องนึกถึงเมื่อพูดถึงวันคริสต์มาสก็คือ ซานตาคลอส ชายชราร่างใหญ่หนวดเคราครึ้มสีขาว สวมชุดสีแดงทั้งตัว ถือถุงของขวัญใบใหญ่เพื่อไปแจกเด็กๆ ในวันคริสต์มาส ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า ชายคนนี้มีอยู่จริงหรือไม่
ขณะที่เชื่อว่ากันว่า ซานตาคลอส นั้นมีที่มาจาก นักบวช เซนต์ นิโคลัส ซึ่งเกิดในตุรกีช่วงปีค.ศ. 280 โดยเซนต์ นิโคลัส บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเอง ก่อนจะออกเดินทางไปยังชนบทเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และเจ็บป่วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า เขาสามารถทำให้พายุในทะเลสงบลงได้ด้วยคำอธิษฐานต่อพระเจ้า จนทำให้เขาได้รับสมญานามว่า ผู้พิทักษ์เหล่าเด็กๆ และกะลาสี
ชื่อของ เซนต์ นิโคลัส เริ่มเข้าสู่วัฒนธรรมอเมริกันในช่วงปลายทศวรรษที่ 18 เพื่อครอบครัวชาวเนเธอร์แลนด์มารวมตัวกัน เพื่อรำลึกถึงวันสิ้นพระชนม์ของ เซนต์ นิโคลัส ซึ่งเขียนเป็นภาษาดัตช์ว่า ‘Sint Nikolaas’ หรือย่อว่า ‘Sinter Klaas’ และเรียกเพี้ยนไปเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น Santa Claus ในเวลาต่อมา
ผู้เขียน: H2O
ที่มา: whychristmas, history