• ธุรกิจเรือสำราญได้รับผลกระทบอย่างหนักนับตั้งแต่พบการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากพบการระบาดเป็นวงกว้างบนเรือสำราญหลายลำ จนธุรกิจที่กำลังเป็นดาวรุ่ง กลายเป็นดาวร่วงในชั่วข้ามคืน
  • หลังเกิดการระบาดของโควิด-19 สมาคมเรือสำราญระหว่างประเทศจึงประกาศใช้มาตรการคัดกรองผู้โดยสารและลูกเรืออย่างเข้มข้นร่วมกัน เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่เรือสำราญของทุกค่าย หวังเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับคืนมา
  • ล่าสุดสิงคโปร์ นำร่องไฟเขียวให้เรือสำราญ 2 ค่ายใหญ่ ให้บริการล่องเรือแบบไม่มีปลายทางให้แก่ลูกค้าชาวสิงคโปร์หวังฝ่าวิกฤติโควิด-19 และฟื้นตัวการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญโดยเร็ว

สถานการณ์ธุรกิจเรือสำราญ

ธุรกิจเรือสำราญเป็นธุรกิจหลักอีก 1 ประเภทที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของโควิด-19 โดยหลังจากมีข่าวการระบาดของโรคบนเรือสำราญ เริ่มจากเรือไดมอนด์ ปริ๊นเซสที่พบผู้ติดเชื้อถึงกว่า 700 ราย ตามมาด้วยเรือเวสเตอร์ดัม เรือเวิลด์ดรีม และเรือสำราญอีกหลายลำที่พบผู้ติดเชื้อแพร่กระจายบนเรือ ทำให้หลายประเทศปฏิเสธที่จะให้เรือสำราญเข้าจอดเทียบท่า และนับตั้งแต่นั้นมา เรือสำราญก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรือที่สำราญใจของนักท่องเที่ยวอีกต่อไป

สำหรับผลกระทบในระยะสั้นก็คือ การขอคืนตั๋วเดินทางเป็นจำนวนมากของลูกค้า และเรือสำราญต้องระงับการเดินเรือไปนานหลายเดือน แต่ที่จะส่งผลตามมาในระยะยาวก็คือความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการที่จะหายไป เพราะไม่ต้องการนำตัวเองเข้ามาเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

เรือสำราญของบริษัทเกนติ้ง ครุยส์ จอดเทียบท่า
เรือสำราญของบริษัทเกนติ้ง ครุยส์ จอดเทียบท่า

...


ยุคเฟื่องฟูของเรือสำราญ


สมาคมเรือสำราญระหว่างประเทศ หรือ CLIA เปิดเผยว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะเจอพิษโควิด-19 ปริมาณนักท่องเที่ยวในธุรกิจเรือสำราญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้โดยสารเรือสำราญในช่วง 5 ปีหลัง สูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2558 มีจำนวน 23.06 ล้านคน และในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 30 ล้านคน

โดย 3 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวที่นิยมล่องเรือสำราญ คือชาวอเมริกัน ราว 12 ล้านคนต่อปี ตามมาด้วยจีน 2.4 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ชาวเยอรมันมาเป็นอันดับ 3 โดยมีการใช้บริการเรือสำราญถึง 2.19 ล้านคนในปี 2562 แต่โควิด-19 ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในภาวะชะงักงัน


ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

หนึ่งในมาตรการที่ออกมาแทบจะทันทีก็คือ มาตรการที่สมาคมเรือสำราญระหว่างประเทศ หรือ CLIA ประกาศให้สมาชิกเรือสำราญในกลุ่ม CLIA ที่คิดเป็น 90 เปอร์เซ็นต์ของเรือสำราญทั่วโลก มีการตรวจคัดกรองผู้โดยสารและลูกเรืออย่างเข้มข้นโดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักเดินทาง ซึ่งสมาชิกกลุ่มเรือสำราญจำนวน 272 ลำ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ผู้โดยสารต้องผ่านการตรวจคัดกรองเข้มงวด
ผู้โดยสารต้องผ่านการตรวจคัดกรองเข้มงวด
เจ้าหน้าที่บนเรือต้องปฏิบัติตามมาตรการคัดกรองเข้มงวดเช่นกัน
เจ้าหน้าที่บนเรือต้องปฏิบัติตามมาตรการคัดกรองเข้มงวดเช่นกัน

...

มาตรการดังกล่าว จะเริ่มจากการคัดกรองผู้โดยสารจากการตอบแบบสอบถามด้านสุขภาพตั้งแต่ก่อนวันเดินทาง การตั้งด่านตรวจวัดอุณหภูมิและสกรีนผู้โดยสารก่อนขึ้นเรือ ไปจนถึงการบรรจุทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำเรือและการเทรนนิ่งลูกเรือเกี่ยวกับโรค เพื่อให้สามารถดูแลผู้โดยสารและป้องกันตนเองได้อย่างปลอดภัย ขณะที่เรือสำราญบางลำยังมีการแจกริสต์แบนด์ให้ผู้โดยสารใช้สำหรับสแกนประตูอัตโนมัติเพื่อจะได้ลดการสัมผัสกับที่จับประตูด้วย ขณะเดียวกันสมาคมเรือสำราญระหว่างประเทศยังได้ออกแถลงการณ์ ขยายการระงับเดินเรือออกจากท่าเรือในสหรัฐฯ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 24 กรกฎาคม ขยายมาจนถึง 15 กันยายน ที่ผ่านมา เพื่อหวังควบคุมการระบาดของโรคที่ยังคงวิกฤติหนักในสหรัฐฯ ด้วย

มาตรการเว้นระยะห่างบนเรือ
มาตรการเว้นระยะห่างบนเรือ

ด้านบริษัท รอยัล แคริบเบียน อินเตอร์เนชั่นแนล และ บริษัท เกนติ้ง ครุยส์ ไลน์ ผู้ให้บริการเรือสำราญยักษ์ใหญ่ 2 เจ้าที่มีฐานในสิงคโปร์ก็นำร่องปรับแนวทางที่เหมาะสมแก่ผู้ใช้บริการในภาวะเช่นนี้ ด้วยการประกาศ เปิดให้บริการล่องเรือสำราญแก่พลเมืองชาวสิงคโปร์แบบไม่มีปลายทาง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป เพื่อหวังกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจชะงักงันจากการระบาดของโควิด-19 โดยการล่องเรือเที่ยวพิเศษนี้จะไม่มีจุดหมายไปยังประเทศอื่นๆ อย่างที่เคยดำเนินการมา แต่จะล่องเรือออกไปในน่านน้ำสิงคโปร์ และล่องกลับมาจอดเทียบที่ท่าเรือแห่งเดิม โดยจะมีการจำกัดจำนวนผู้โดยสารเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของความจุ และมีการตรวจคัดกรองโรคผู้โดยสารและลูกเรืออย่างเข้มข้น ตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือและระหว่างอยู่บนเรือ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด แต่จะจำกัดรับลูกค้าที่อาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์เท่านั้น

...

สำหรับค่าบริการล่องเรือสำราญแบบไร้จุดหมายปลายทางของบริษัท รอยัล แคริบเบียน บนเรือสำราญ ควอนตัม ออฟ เดอะ ซี เป็นเวลา 3 คืน จะอยู่ที่ประมาณ 374 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 11,700 บาท ซึ่งหากบริการแนวใหม่นี้ได้รับเสียงตอบรับดี ก็นับเป็นอีกหนึ่งทางรอดเฉพาะหน้าของธุรกิจเรือสำราญ จนกว่าการระบาดของโควิด-19 จะผ่านพ้นไป และความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการจะกลับคืนมาดังเดิม.

ผู้เขียน : อาจุมม่าโอปอล