โลกป่วยกว่า 4 ล้านคน

โลกเริ่มมีความหวังในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ขึ้นมาอีกนิด เมื่อทีมวิจัยแห่ง ม.ฮ่องกง ระบุหากใช้ยาสูตรผสม 3 ชนิด ร่วมกันในผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง จะทำให้หายป่วยเร็วขึ้น ขณะที่ผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะทั่วโลกทะลุเร็วเกิน 4 ล้านคน ตายกว่า 2.7 แสนคน แต่มีคนรักษาหาย 1.39 ล้านราย โดยสหรัฐฯยังครองแชมป์ ติดเชื้อ-ตาย สูงสุดในโลก ส่วนอังกฤษกลับมาแซงหน้าอิตาลี ยอดป่วยตายสูงสุดในภูมิภาคยุโรป ส่งผลรัฐบาลผู้ดีเตรียมใช้มาตรการกักตัว 14 วัน สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศในทุกช่องทาง

การระบาดของไวรัสมรณะที่ก่อโรคโควิด-19 ในประเทศต่างๆทั่วโลก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 9 พ.ค. ว่า ยอดผู้ติดเชื้อรวมใน 212 ประเทศ หรือดินแดนทั่วโลกอยู่ที่ 4.03 ล้านคน ผู้เสียชีวิตรวมทั่วโลกอยู่ที่ 276,498 คน รักษาหายดี 1.39 ล้านคน ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลกอยู่ที่สหรัฐอเมริกา คือติดเชื้อ 1.32 ล้านคน และเสียชีวิต 78,616 คน

...

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวด้วยว่า นางเคที มิลเลอร์ โฆษกของรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ของสหรัฐฯ ตรวจพบติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อวันที่ 8 พ.ค. โดยก่อนหน้านั้นทหารสหรัฐฯทำหน้าที่พลขับของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ก็ตรวจพบติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นกัน สำหรับนางมิลเลอร์เป็นภรรยาของนายสตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของทรัมป์ เข้าร่วมการประชุมระดับสูงในทำเนียบขาวเป็นประจำ จนเกรงกันว่าทำเนียบขาวกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาด จึงมีการตรวจร่างกายของนายทรัมป์และนายเพนซ์ แบบรายวัน เพื่อป้องกันไว้ก่อนและไม่พบติดเชื้อแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ผู้ช่วยส่วนตัวของนางอิวานกา ลูกสาวและที่ปรึกษาของนายทรัมป์ ตรวจพบติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่เพราะทำงานที่บ้านและระยะหลังไม่ได้ติดต่อใกล้ชิดกับนางอิวานกา ที่ตรวจร่างกายแล้วไม่พบติดเชื้อเช่นกัน

นายแอนดรูว์ คัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ศูนย์กลางการระบาดของโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯ ออกมาแสดงความเป็นห่วงกรณี ด.ช.วัย 5 ขวบคนหนึ่งในรัฐนิวยอร์ก เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อในเลือด โดยมีอาการเดียวกับโรคคาวาซากิ หรือภาวะอักเสบเฉียบพลันของหลอดเลือดในเด็กที่พบครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อ 53 ปีก่อน และสันนิษฐานว่า ด.ช.คนนี้อาจเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเชื่อมโยงกับไวรัสก่อโรคโควิด-19 ซึ่งอาการแทรกซ้อนในเด็กดังกล่าว ตรวจพบครั้งแรกที่อังกฤษ อิตาลีและสเปน ส่วนที่รัฐนิวยอร์ก พบเด็กป่วยด้วยภาวะอักเสบเฉียบพลันของหลอดเลือด 73 คน

วันเดียวกัน สำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ อนุมัติให้ใช้ชุดตรวจหาไวรัสโควิด-19 ทางน้ำลายสำหรับใช้ตรวจเองที่บ้านเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ FDA ถูกวิจารณ์ว่าอนุมัติชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนหลายยี่ห้อหลายแบบจนล้นตลาดและชุดตรวจไวรัสบางชุดยังให้ค่าผลตรวจผิดพลาดด้วย

ส่วนที่บราซิล ซึ่งมีการแพร่ระบาดหนักที่สุดในละตินอเมริกา พบผู้ติดเชื้อเพิ่มถึง 10,222 ราย ภายในวันเดียว ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมสูงเกือบ 150,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตรายวันเพิ่มสูงที่สุด 751 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 10,017 ราย ขณะที่ อียิปต์พบผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงที่สุด 495 ราย รวมติดเชื้อสะสม 8,476 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 21 รายรวมเป็น 503 ราย ประธานาธิบดีอับเดล-ฟัตตาห์ เอล-ซิสซี ยังประกาศขยายภาวะฉุกเฉิน เพิ่มอำนาจให้ตนเองและกองกำลังรักษาความมั่นคงมากขึ้น โดยอ้างว่าจำเป็นเพื่อต่อสู้โควิด-19

ขณะที่ในภูมิภาคยุโรป รัสเซีย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,817 คน โดยรัสเซียพบผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 10,000 คนต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรวมในรัสเซียเพิ่มเป็น 198,676 คน หรือมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ส่วนผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 1,827 คน ส่วนที่อิตาลี กลายเป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรป (อียู) ที่มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสมรณะเกิน 30,000 คน ส่วนผู้ติดเชื้อรวม 217,185 คน ด้านสมาชิกอียูอื่นๆ ได้แก่ สเปน มีผู้ติดเชื้อมากอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 260,117 คน ผู้เสียชีวิตรวม 26,299 คน ฝรั่งเศส มีผู้ติดเชื้อรวม 176,079 คน ผู้เสียชีวิตรวม 26,230 คน และเยอรมนี มีผู้ติดเชื้อรวม 170,588 คน ผู้เสียชีวิตรวม 7,510 คน

...

ส่วนอังกฤษมีผู้ติดเชื้อรวม 211,364 คน ผู้เสียชีวิตรวม 31,241 คน มากเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคยุโรป ทำให้รัฐบาลอังกฤษมีแผนบังคับใช้คำสั่งให้ผู้เดินทางเข้าอังกฤษทั้งทางอากาศ ทะเลและรถไฟต้องกักกันตัวเอง 14 วัน ยกเว้นผู้มาจากประเทศไอร์แลนด์ คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ช่วงปลายเดือน พ.ค.นี้ ผู้ฝ่าฝืนมีทั้งโทษปรับและเนรเทศ

ที่ออสเตรเลีย รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐที่มีประชากรมากที่สุด ระงับแผนผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ไว้ก่อน แม้มีบางรัฐอนุญาตให้ประชาชนชุมนุมกลุ่มเล็กๆได้ และเตรียมเปิดร้านอาหารตามนโยบายของรัฐบาลกลางที่จะเริ่มทยอยเปิดธุรกิจเป็น 3 ขั้นตอน ขณะที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 15 ราย เป็น 6,929 ราย เสียชีวิต 97 ราย

ขณะที่ในจีน นายหลี่ ปิน รองประธานคณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติจีน แถลงเมื่อ 9 พ.ค.ว่า จีนจะปฏิรูประบบป้องกันและควบคุมโรคระบาดครั้งใหญ่ เพื่อปิดจุดอ่อนที่เจอในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีต้นตอจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย และจีนถูกกล่าวหาว่าแจ้งเตือนประชาคมโลกและรับมือการแพร่ระบาดล่าช้า

ด้านโทรทัศน์ของทางการจีนรายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งจดหมายถึงนายคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ แสดงความวิตกกังวลเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเกาหลีเหนือ และพร้อมช่วยเหลือเกาหลีเหนือต่อสู้กับโควิด-19 เท่าที่สามารถทำได้ แม้เกาหลีเหนืออ้างว่ายังไม่พบผู้ติดเชื้อ ขณะที่จีนพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเพียง 1 ราย รวมเป็น 82,887 ราย และใน 24 วันหลัง ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 4,633 ราย

...

ส่วนญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเพียง 36 ราย ต่ำกว่าเมื่อวันก่อน 3 ราย และเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันที่พบผู้ติดเชื้อไม่ถึง 100 ราย ทำให้ยอดติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 15,575 ราย โดยกรุงโตเกียวมีผู้ติดเชื้อ 4,846 ราย มีผู้เสียชีวิตรวมทั่วประเทศ 590 ราย ขณะที่นิตยสารการ์ตูนหรือมังงะ “บิ๊ก โคมิก” อันเก่าแก่อายุ 52 ปี ผู้สร้างมังงะคุณลุงยอดนักฆ่า “กอลโก 13” ที่โด่งดังไปทั่วโลก ประกาศปิดตัวเองแล้วเพราะผลกระทบจากโควิด-19

ด้านเกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเพียง 18 ราย ทำให้ยอดสะสมเป็น 10,840 ราย มีผู้เสียชีวิต 256 ราย หลัง 1 วันก่อน รัฐบาลเรียกร้องให้ปิดไนต์คลับทั้งหมดอีก 1 เดือน หลังพบผู้ติดเชื้อรายวันเกิน 10 รายเป็นครั้งแรกในรอบ 5 วัน ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อรายใหม่มาจากเขตอิแตวอนในกรุงโซล ซึ่งชายวัย 29 ปี คนหนึ่งไปเที่ยวไนต์คลับ 3 แห่งก่อนถูกตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้ การติดเชื้อในเกาหลีใต้ลดลงมากจนรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและประกาศแผนเปิดโรงเรียนใน 13 พ.ค.นี้

ส่วนในภูมิภาคอาเซียน สิงคโปร์ พบผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มถึง 753 ราย รวมเป็น 22,460 ราย ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวในหอพักที่แออัด แต่ผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 20 ราย มาเลเซีย พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 54 ราย รวมเป็น 6,589 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเพียง 1 ราย รวมเป็น 108 ราย แต่อินโดนีเซียพบผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 533 ราย รวมเป็น 13,645 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 16 ราย รวมเป็น 959 ราย ส่วนฟิลิปปินส์พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 147 ราย รวมเป็น 10,610 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 8 ราย รวมเป็น 704 ราย

นอกจากนี้ มีรายงานที่น่ายินดีด้วยว่า ทีมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง (University of Hong Kong) เผยแพร่ผลการวิจัยในวารสารการแพทย์ “แลนเซต” (Lancet) ระบุว่า ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่อาการไม่รุนแรง-ปานกลาง หายเร็วขึ้น ถ้ารักษาด้วยยาต้านไวรัสสูตรผสม (cocktail) 3 ชนิด ประกอบด้วย ยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) “อินเตอร์เฟียรอน เบตา-1 บี” ยารักษาเชื้อเอชไอวี (HIV) “โลพินาเวียร์-ริโทนาเวียร์” และยารักษาโรคตับอักเสบ “ริบาวิริน” ตั้งแต่เนิ่นๆหรือแรกเริ่มพบมีอาการ ทีมวิจัยระบุด้วยว่าเป็นการค้นพบขั้นแรก แต่ถือว่ามีความสำคัญ เรียกร้องให้มีการวิจัยในวงกว้างกับผู้ป่วยติดเชื้ออาการหนัก เพื่อศึกษาให้แน่ใจว่ายาสูตรค็อกเทลทั้ง 3 ชนิดใช้รักษาผู้ป่วยกลุ่มหลังนี้ได้ด้วยหรือไม่

...