เมื่อวันอาทิตย์ สหรัฐฯ และจีนต่างบังคับใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีเล่นงานสินค้านำเข้าของอีกฝ่ายระลอกใหม่ ซึ่งอาจทำให้ชาวอเมริกันต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อเสื้อผ้ารองเท้า หรือสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ก.ย. 2562 สหรัฐอเมริกาบังคับใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษี 15% แก่สินค้านำเข้าจากจีนระลอกใหม่ มูลค่า 1.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายที่สินค้าตั้งแต่ เนื้อและชีส ไปจนถึงรองเท้า
ทั้งนี้ การตั้งกำแพงภาษีจีนมีจุดเริ่มต้นจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาจีนว่า ค้าขายกับสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม และขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไปแล้วมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อกดดันให้จีนเปลี่ยนนโยบายด้านทรัพย์สินทางปัญญา, การจ่ายเงินอุดหนุนอุตสาหกรรม และอื่นๆ ซึ่งนายทรัมป์ยืนยันว่า จีนจะเป็นผู้จ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เคที เพรสคอตต์ ผู้สื่อข่าวสายธุรกิจของบีบีซี ระบุว่า การขึ้นภาษีระลอกล่าสุดของสหรัฐฯ ต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต แต่คราวนี้กลับเป็นผู้บริโภคชาวอเมริกันที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบ เพราะสินค้าที่ถูกตั้งกำแพงภาษีมีตั้งแต่ผ้าอ้อม, นำ้ยาล้างจาน, รองเท้า, อาหารต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้ค้าปลีกไม่มีทางเลือกนอกจากผลักภาระค่าใช้จ่ายไปให้ผู้ซื้อ
ขณะที่บริษัทผู้ผลิตรองเท้าในสหรัฐฯ กว่า 200 เจ้า รวมทั้ง ไนกี้ และคอนเวิร์ส ระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า มาตรการภาษีล่าสุดจะทำให้ภาษีของรองเท้าบางรุ่นที่มีอยู่แล้วพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 67% และจะกระทบชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนที่จะซื้อรองเท้าในช่วงวันหยุดนี้
นี่นับเป็นการขึ้นภาษีระลอกแรกของสหรัฐฯ เท่านั้น โดยระลอกที่ 2 จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ธ.ค. โดยสหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีสินค้าของจีนที่เหลือทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงเทคโนโลยีอย่าง โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น สินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมูลค้ารวม 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะถูกตั้งภาษีเกือบทั้งหมด และจะทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในครัวเรือนต่อปีของชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้นอีกราว 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ
...
อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลจีนตั้งกำแพงภาษีตอบโต้มาตรการล่าสุดของสหรัฐฯ เช่นกัน โดยขึ้นภาษีนำเข้าน้ำมันดิบเป็นครั้งแรกที่ 5% และขึ้นภาษี 5% กับ 10% แก่สินค้าอื่นๆ ของสหรัฐฯ อีก 1,717 รายการ จีนยังเตรียมขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ อีกมากกว่า 3,000 รายการในวันที่ 15 ธ.ค. ด้วย