เจ็ท แอร์เวย์ส ชื่อนี้ถือเป็นดาวเด่นของการบินอินเดียมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990-2000 พวกเขาครองใจลูกค้ามากมายตั้งแต่เริ่มกิจการ และชิงพื้นที่ในตลาดที่เคยถูกครอบครองโดยสายการบินแห่งชาติอย่าง แอร์ อินเดีย มาได้ด้วยบริการที่ได้รับการยกย่องว่าอยู่ในระดับโลก
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เจ็ท แอร์เวย์ส เติบโตอย่างมั่นคงกลายเป็นสายการบินระหว่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของแดนภารตะ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เครื่องบินที่มีถึง 119 ลำ ถูกใช้งานเพียง 5 ลำเพราะจ่ายค่าเช่าไม่ไหว ขณะหนี้สินก็พอกพูนมากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างพนักงานและหนี้เงินกู้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (17 เม.ย. 2562) เจ็ท แอร์เวย์ส ประกาศระงับปฏิบัติการทั้งหมดชั่วคราว เนื่องจากขอกู้เงิน 57.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากธนาคารแห่งรัฐอินเดีย (SBI) เพื่อให้บริการที่เหลือเพียงน้อยนิดยังสามารถดำเนินต่อไปได้ไม่สำเร็จ ทำให้พวกเขายืนอยู่บนขอบเหวของการล้มละลาย อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามาถึงจุดนี้

...
*การมาของสายการบินทุนต่ำ
เจ็ท แอร์เวย์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2536 หรือ 2 ปี หลังจากอินเดียเริ่มเปิดประตูต้อนรับนักลงทุนเอกชน โดยเป็น 1 ใน 5 สายการบินเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นในยุคนั้น แต่มีเพียงเจ็ท แอร์เวย์ เท่านั้นที่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ โดยชิงส่วนแบ่งมาจากแอร์ อินเดีย ที่เคยผู้ขาดตลาดเอาไว้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ที่จริงแล้ว การผงาดขึ้นมาของ เจ็ท แอร์เวย์ส เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แอร์ อินเดีย เริ่มตกต่ำลง เพราะการบริการที่แย่และการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดของบรรดานักการเมือง อย่างไรก็ตาม เจ็ทฯ เริ่มเจอปัญหาจากการมาของสายการบินต้นทุนต่ำอย่าง ‘สไปซ์เจ็ท’ และ ‘อินดิโก’ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2547 และ 2549 ตามลำดับ
โดยสายการบินน้องใหม่เริ่มขายตั๋วเครื่องบินในราคาต่ำกว่าของเจ็ท แอร์เวย์ส มาก เพื่อต่อสู้กับคู่แข่ง เจ็ทฯ จึงเริ่มลดค่าบริการของตัวเองลงบ้าง ในขณะที่ยังให้บริการอย่างเต็มรูปแบบต่อไป ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการประกอบการสูงกว่าสายการบินทุนต่ำอื่นๆ มาก ทำให้สายการบินสูญเสียกำไร

*ราคาน้ำมันดิบและค่าเงินรูปี
นอกจากเรื่องการแข่งขันที่สูงแล้ว ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบและการลดลงของค่าเงินรูปีก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ปัญหาการเงินของเจ็ท แอร์เวย์ส ทรุดหนัก เพราะเมื่อเงินรูปีอ่อนค่า ราคาน้ำมันซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักของสายการบินต่างๆ ก็แพงขึ้นไปด้วย หนี้ของเจ็ทฯ เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2541 ทำให้พวกเขาต้องกู้เงินจากธนาคารอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ อินดิโก ก็ชิงส่วนแบ่งการต่างจากเจ็ท แอร์เวย์ ไปเรื่อยๆ เช่นกัน
สถานการณ์เปลี่ยนจากแย่เป็นเลวร้ายในปี 2561 เมื่อราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแตะ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล กอปรกับค่าเงินรูปีต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนลงเกือบ 20% ส่งผลให้สายการบินในอินเดีย ขาดทุนอย่างหนัก แต่ เจ็ท แอร์เวย์ส อาการสาหัสกว่าเพื่อนเพราะมีหนี้มหาศาล ทำให้สภาพคล่องของพวกเขามีปัญหา และไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้

...
*การบริหารจัดการไม่ดี
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวโทษการบริหารของนาย นเรช โกยาล ผู้ก่อตั้งสายการบินแห่งนี้ ว่าเป็นต้นเหตุทำให้เจ็ท แอร์เวย์ส มาถึงจุดตกต่ำ และการตัดสินใจของเขาที่ให้มีทีมบริหารจัดการเพียงทีมเดียว ซึ่งนำโดยตัวเขาเอง คอยดูแลปฏิบัติการทั้งหมดของสายการบิน เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์
นักวิเคราะห์ระบุว่า นายโกยาลควรให้ทีมบริหารหนึ่งดูแลธุกริจเครื่องบินที่ให้บริการแบบเต็มรูปแบบ และอีกทีมดูแลเครื่องบินทุนต่ำ “เจ็ทฯ ขาดโมเดลธุรกิจที่เป็นรูปธรรมและบ่อยครั้งที่จัดการกับเรื่องนี้อย่างน่ากังวล ทำให้นักลงทุนสับสน” นายเทเวช อาการ์วาล บรรณาธิการเว็บไซต์ ‘Bangalore Aviation’ บอกกับสำนักข่าว เอเอฟพี เขายังเชื่อว่าการตัดสินใจหลายอย่างของเจ็ท แอร์เวย์ ไม่โปร่งใสด้วย
นอกจากนี้ นายโกยาลยังถูกกล่าวหาว่า ตัดสินใจลงทุนผิดพลาด และล้มเหลวในการแก้ปัญหาทางการเงินของบริษัท ทั้งที่กู้เงินมามากมาย “พูดง่ายๆ คือ พวกเขาจ่ายมากกว่าที่หามาได้ และทำให้หนี้เพิ่มพูนขึ้นไม่หยุด” นายอาการ์วาลกล่าว

...
*การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ผู้เชี่ยวชาญการบินหลายคนเชื่อว่า จุดเริ่มต้นของปัญหาทางการเงินของเจ็ท แอร์เวย์ส เริ่มมาตั้งแต่การซื้อสายการบิน แอร์ ซาฮารา ด้วยเงินสดมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2549 โดยมีรายงานว่า นายโกยาลไม่สนใจคำแนะนำของที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่เตือนว่า เขาใช้จ่ายมากเกินไป
สายการบิน แอร์ ซาฮารา ได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘เจ็ทไลต์’ แต่ก็ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก จนเจ็ท แอร์เวย์สตัดการลงทุนทั้งหมด

*ดึงดูดนักลงทุนไม่ได้
นักเคราะห์ชี้ว่า การที่นายโกยาลล้มเหลวในการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาอัดฉีดเม็ดเงินให้สายการบิน ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เจ็ท แอร์เวย์ส เดินทางมาถึงจุดนี้ โดยสาเหตุหลักคือ นายโกยาลไม่อยากเสียการควบคุมบริษัทไป
...
เมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา การเจรจารกับบริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่อย่าง ทาทา เพื่อให้เข้ามาซื้อหุ้นเลี้ยงชีพเจ็ท แอร์เวย์ส ที่กำลังขาดสภาพคล่อง ก็ไม่คืบหน้า ส่วนการเจรจากับเอติฮัด แอร์เวย์ ซึ่งแสดงความสนใจว่าจะซื้อหุ้นของเจ็ท แอร์เวย์ส เพิ่มจากเดิมที่ครองอยู่แล้ว 24% ก็ล้มเหลว เพราะนายโกยาลปฏิเสธที่จะลาออกจากตำแหน่งประธานบอร์ดบริหาร
แต่จนแล้วจนรอด นายโกยาลก็ถูกบีบให้ลาออกจนได้ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตามข้อตกลงแก้ปัญหาหนี้ ซึ่งทำให้กลุ่มสถาบันการเงินเจ้าหนี้ นำโดยธนาคารรัฐแห่งอินเดีย (SBI) เข้ามาเทคโอเวอร์บริษัท ซึ่งตอนนี้ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้วที่จะหานักลงทุนเข้ามากู้สถานการณ์ แต่หากไม่สำเร็จ เจ็ท แอร์เวย์ส อาจกลายเป็นสายการบินอินเดียเจ้าแรกที่ต้องปิดกิจการในรอบ 7 ปี ต่อจาก คิงฟิชเชอร์ แอร์ไลน์ส ในปี 2555 ก็เป็นได้