เผยบริษัทเอกชนทั่วโลก มีแนวโน้มใช้วิธีจับตาการทำงานของพนักงานมากขึ้น หวังเค้นประสิทธิภาพออกมาให้มากที่สุด

เมื่อวันที่ 12 เม.ย.62 สำนักข่าวบีบีซีอังกฤษรายงาน นายไบรอัน ครอปป์ รองประธาน “การ์ทเนอร์” บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยด้านเอกชนของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า บริษัทเอกชนต่างๆ ทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีจับตาการทำงานของพนักงานมากขึ้น เพื่อหวังเค้นประสิทธิภาพออกมาให้ได้มากที่สุด

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่มีกำไรมากกว่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือประมาณ 23,250 ล้านบาทต่อปี ได้ใช้วิธีจับตาการทำงานที่ต่างจากเดิม ไม่ว่าการวิเคราะห์ดูประสิทธิภาพการตอบอีเมล การสนทนา การใช้คอมพิวเตอร์ หรือกระทั่งเส้นทางการเดินระหว่างการทำงานในบริษัท ของบุคลากรในสังกัด ไปจนถึงการวัดค่าการเต้นของหัวใจ และนิสัยการนอนของพนักงาน เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่า มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานมากน้อยเพียงใด ซึ่งในปี 2563 เชื่อว่าบริษัทเอกชนกำไรสูงกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จะใช้วิธีแบบนี้

ขณะที่ นายเบน วาเบอร์ ผู้บริหารบริษัทฮิวมาไนซ์ รับวิเคราะห์ผลการทำงานของพนักงานเอกชน ในนครบอสตัน รัฐแมสซาชูเสตส์ สหรัฐฯ มองว่าการวิเคราะห์การทำงานอย่างละเอียด เป็นผลดีต่อนายจ้างและลูกจ้าง อย่างที่บริษัททำอยู่คือการติดไมโครโฟนและอุปกรณ์ส่งสัญญาณไว้หลังป้ายชื่อพนักงานเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งให้คิดเสียว่าเหมือนกับนาฬิกาฟิตบิตตอนออกกำลังกาย

...

โดยสิ่งที่บริษัทของเราพบคือ การที่บริษัทมีโต๊ะรับประทานอาหารที่นั่งได้หลายคน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเป็นการเปิดช่องให้พนักงานร่วมแชร์แบ่งปันข้อมูลกัน โดยตัวอย่างพนักงานไอทีคนหนึ่ง ทำงานได้ดีขึ้นหลังได้ร่วมวงโต๊ะกินข้าวที่นั่งได้ 12 คน เมื่อเทียบกับพนักงานฝ่ายเดียวกัน ที่ร่วมวงโต๊ะกินข้าวนั่งได้ 4 คน

อย่างไรก็ตาม สื่อต่างประเทศรายงานว่า การจับตาพนักงานเช่นนี้ ถูกพนักงานบริษัทบางส่วนมองว่า ไร้ความเป็นมนุษย์ และล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ตัวอย่างเมื่อปี 2559 พนักงานหนังสือพิมพ์เทเลกราฟของอังกฤษรวมตัวประท้วง หลังฝ่ายบุคคลนำเซนเซอร์จับความเคลื่อนไหว มาติดตั้งใต้โต๊ะทำงานโดยอ้างว่าเพื่อเก็บข้อมูลการใช้พลังงานในบริษัท

ส่วนน.ส.คอร์ทนีย์ ฟอร์ด วัย 34 ปี ผู้ไม่ขอเผยรายละเอียดเพิ่มเติม ระบุว่าเคยทำงานในธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ทนไม่ไหวขอลาออก เนื่องจากบริษัทติดตั้งซอฟต์แวร์ ที่จะจดบันทึกว่าตัวเองเคาะแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดกี่ครั้งในแต่ละวัน ทั้งบันทึกว่าลูกค้าที่สนทนากับตัวเอง มีกี่รายที่ตัดสินใจกู้เงิน