เทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกปัจจุบันมีอยู่ 6 อย่าง คือโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต อีเมล อีคอมเมิร์ซ สมาร์ทโฟน และโซเชียลมีเดีย ส่วนวิวัฒนาการของเงินคริปโตนั้นจะกลายเป็นเทคโนโลยีลำดับที่ 7 ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต

ไม่มีใครรู้ดอกครับ ว่าใครคนใดที่แท้จริงเป็นผู้ให้กำเนิดเงินคริปโต ที่รู้จักกันก็เป็นแต่เพียงในนาม “ซาโตชิ นากาโมโต” ชื่อเหมือนคนญี่ปุ่น แต่ทุกคนลงความเห็นว่านี่เป็นแค่นามแฝง อาจจะเป็นชื่อของคนคนเดียว หรือเป็นชื่อของคณะบุคคล ตอนที่เงินคริปโตถือกำเนิดเกิดขึ้นมาครั้งแรกบนโลกเมื่อ พ.ศ.2552 มีชื่อว่าเงินบิตคอยน์ ความมุ่งหวังตั้งใจของการสร้างก็คือ ต้องการให้เงินคริปโตสามารถใช้ได้จริงบนระบบคอมพิวเตอร์ หรือบนโทรศัพท์มือถือ

ผู้สร้างเงินคริปโตต้องการให้มีการโอนหรือรับจ่ายเงินจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้โดยตรงผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินเหมือนการใช้ธนบัตร เงินคริปโตถูกออกแบบให้สามารถใช้ได้ทั่วโลกแบบเดียวกับบัตรเครดิต แต่เปลี่ยนวิธีการผลิตจากเงินในรูปแบบของเงินธนบัตรที่ต้องพิมพ์ขึ้นมา มาเป็นเงินที่ผลิตขึ้นโดยระบบคอมพิวเตอร์ หรือเงินดิจิทัล

ผู้สร้างเงินคริปโตออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเรียกว่า ระบบบล็อกเชน เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเก็บรักษาและตรวจสอบความถูกต้องในการโอนเงินคริปโตระหว่างผู้โอนและผู้รับได้อย่างปลอดภัย ระบบบล็อกเชนทำหน้าที่เหมือนสถาบันการเงินหรือบริษัทเจ้าของบัตรเครดิต แต่มีความปลอดภัยสูงกว่าระบบความปลอดภัยของสถาบันการเงิน

เงินคริปโตไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เป็นสถาบันการเงิน ทำให้คนที่ใช้เงินคริปโตประหยัดค่าบริการที่แต่ก่อนง่อนชะไรเคยให้แก่สถาบันการเงินหรือเจ้าของบัตรเครดิต เงินคริปโต 1 เหรียญที่ผลิตนั้น ได้มาจากการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์แก้สมการทางคณิตศาสตร์ที่สลับซับซ้อนนับเป็นพันครั้ง มีเอกลักษณ์เฉพาะเหรียญเหมือนกับตัวเลขและอักษรที่พิมพ์บนธนบัตรที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆพิมพ์ขึ้นมาใช้ในปัจจุบัน ซึ่งหมายเลขบนธนบัตรแต่ละใบก็จะไม่ซ้ำกันเช่นกัน

...

เงินคริปโตแต่ละเหรียญที่ผลิตออกมาแล้ว ไม่มีใครสามารถอ่านสัญลักษณ์บนเหรียญได้ จึงไปผลิตปลอมไม่ได้ เงินคริปโตที่ผลิตและเข้ารหัสแล้วจะถูกนำไปเก็บไว้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าระบบบล็อกเชนหรือกล่องเก็บข้อมูล การเก็บเงินคริปโตและการตรวจสอบความถูกต้องในการใช้จ่าย รวมถึงการรักษาความปลอดภัยในการโอนเงินมีความปลอดภัยสูงกว่าและเร็วกว่าระบบธนาคารหลายเท่าตัว

ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายเงินคริปโตก็จะมีการบันทึกการทำธุรกรรมเอาไว้ในระบบบล็อกเชนที่ไม่มีใครไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ แต่เจ้าของบัญชีสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมย้อนหลังได้ ไม่มีใครกล้าเอาเงินคริปโตไปใช้ในทางผิด กฎหมายดอกครับ ไม่ว่าจะใช้ในการฟอกเงิน การค้ายาเสพติด การซื้ออาวุธสงคราม การก่อการร้าย เพราะระบบสามารถจะตรวจสอบการทำธุรกรรมย้อนหลังของเจ้าของบัญชีนั้นๆ ได้ตลอดเวลา

เจ้าของบัญชีเงินคริปโตเท่านั้นที่จะสั่งจ่ายใช้เงินในบัญชีของตนเองได้ เป็นเจ้าของเงินคริปโตก็มีสถานะเท่ากับเป็นเจ้าของธนาคาร ปลอดภัยจากการหักบัญชีโดยอัตโนมัติ นับวันเงินคริปโตก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีจำนวนจำกัดและแน่นอน หลังจากกำหนดจำนวนการผลิตไว้ในโปรแกรมแล้ว จะผลิตเพิ่มอีกไม่ได้ จึงไม่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ

ข้อจำกัดของเงินคริปโตคือ ไม่มีดอกเบี้ย เมื่อสั่งจ่ายไปแล้วจะมาแก้ไขอะไรอีกไม่ได้ ต่อไปในอนาคตเมื่อบริษัทที่ผลิตคริปโตปิดหรือล้มละลาย มูลค่าเงินคริปโตยี่ห้อนั้นก็จะหมดมูลค่าตามไปด้วย และเพราะเงินคริปโตถูกผลิตออกมาน้อย มีจำนวนน้อย จึงถูกปั่นราคาทำให้มีความผันผวนรุนแรง จึงมีความเสี่ยงในการถือครอง

เรื่องของเงินคริปโตยังมีอีกเยอะครับ.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง เงินคริปโต (1)

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com