หลายท่านติดตามความเห็นของผู้นำจีนในยุคปัจจุบันในกิจการด้านต่างประเทศแล้วก็พบว่า แตกต่างจากผู้นำจีนยุคก่อนมากครับ สมัยก่อน ผู้นำจีนจะมีเข็มมุ่งเป็นอักษรจีนที่เติ้งเสี่ยวผิงเคยให้ไว้ 24 อักษร คือ เฝ้ามองไม่ตระหนก มั่นคงในจุดยืน เผชิญสถานการณ์อย่างสงบ งำประกายเตรียมรอโอกาส อย่าออกหน้า และไม่แสวงความเป็นใหญ่

แต่เดี๋ยวนี้ได้มีการเพิ่มเข็มมุ่งอีก 4 อักษรคือ แสดงบทบาทบ้าง ดังนั้น ต่อไปนี้ จีนคงจะไม่เป็นฝ่ายตั้งรับแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนก่อน แต่จีนจะแสดงนโยบายต่างประเทศเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูพลังของชนชาติจีนให้เข้มแข็ง สิ่งที่รัฐบาลจีนและคนจีนหวังก็คือ การที่จีนจะเป็นมหาอำนาจชาติยิ่งใหญ่ใน ค.ศ.2021 ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่จะให้ใหญ่จริงๆ ใหญ่ขนาดเป็นเบอร์ 1 ของโลก ก็โน่นล่ะครับ ค.ศ.2049 ซึ่งครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาชาติรัฐใหม่ที่มีชื่อว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน

วันมะรืนนี้จะมีคณะคนไทยชุดหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพื่อนกันในไลน์แอท @ntp5 เดินทางไปประเทศจีนและฟังการบรรยายเรื่อง One Belt One Road หรือความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งมี Maritime Silk Road หรือเส้นทางแพรไหมทางทะเล ที่จะเชื่อมกับเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก ไปจนถึงยุโรป เชื่อมลงมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้

มีมหาอำนาจบางประเทศชุมนุมสุมหัวกันละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ฟังมติคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ใช้กำลังฝ่ายเดียวไปเล่นงานประเทศโน้นชาตินี้ตามอำเภอใจ เมื่อก่อนจีนก็จะดูเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยสายตาสงบ แต่ต่อไปในอนาคต ผมเชื่อว่า จีนไม่สงบแล้วครับ จีนพยายามจะออกมาแสดงบทบาทในฐานะผู้นำโลก

จีนเป็นประเทศฉลาด ประเทศไหนชาติใดมีศักยภาพทางการทหารและเศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง จีนก็จะใช้เครื่องมือความช่วยเหลือเพื่อให้ประเทศนั้นเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศให้หันมาทางจีน แต่ถ้านโยบายความช่วยเหลือไม่ได้ผล จีนก็จะใช้เครื่องมือบีบบังคับทั้งทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหาร

...

ประเทศเกเรเกตุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เที่ยวพูดกับใครต่อใครมาตลอดว่า จีนเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจและการทหาร ทรัมป์บอกว่าต้องการใช้มาตรการแข็งกร้าวจัดการกับจีน ไม่ว่าประเด็นไต้หวัน ทะเลจีนใต้ และเกาหลีเหนือ พอพูดถึงเรื่องเหล่านี้ นักวิเคราะห์ทั้งหลายก็บอกว่า จีนอาจจะหลีกเลี่ยงการปะทะเพื่อเซฟตัวเอง แต่ผมอยากจะเรียนครับ ว่าตอนนี้จีนพร้อมที่จะเผชิญหน้าและพร้อมที่จะอยู่กับความตึงเครียดที่สหรัฐฯจะสร้างขึ้นมาเพื่อกดดันจีน

โลกเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจจากระบบ 2 ขั้ว (สหรัฐฯ โซเวียต) มาเป็นระบบขั้วเดียว (สหรัฐฯ) แต่การสร้างตัวตนใหม่ของจีนจะทำให้โลกกลับไปสู่ระบบหลายขั้ว แล้วก็ไม่แน่นะครับ ในอนาคตโลกอาจจะกลับไปสู่ยุค Balance of Power หรือดุลแห่งอำนาจ

สิ่งที่สหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลียทำกับอิรักเมื่อ พ.ศ.2546 และสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศสทำกับซีเรียเมื่อ 14 เมษายน 2561 ต่อไปในอนาคตพวกตะวันตกอาจจะเกเรเกตุงอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เพราะจีนและรัสเซียอาจจะไม่ยอม ซึ่งถ้ารัสเซียสามารถสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็งพอที่จะแบกภาระด้านการทหารได้ โลกก็จะมีอภิมหาอำนาจ 3 ประเทศคือ สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ถ้าถามผมว่าใครจะเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมากที่สุด ผมขอตอบว่าจีนครับ ส่วนสหรัฐฯนั้นจะมีอิทธิพลลดลง ผมดูจากการที่ตอนนี้สหรัฐฯ ลดการให้ความช่วยเหลือประเทศโน้นชาตินี้ เมื่อไม่ได้เป็นประเทศผู้ให้ก็สั่งการให้ประเทศอื่นทำตามไม่ได้

สหรัฐฯรู้ดีว่าในอนาคต ตนเองจะไม่ใช่ผู้ที่ครองตำแหน่งเจ้าโลกแต่เพียงชาติเดียว จึงดิ้นรนทุกวิถีทางไม่ให้หลุดวงโคจรผู้นำโลก ตัวละครสำคัญอย่างรัสเซียและชาติอื่นๆ ก็ถูกลากเข้ามาเกี่ยวดองหนองยุ่งกับสงครามในซีเรีย

แม้ว่าตอนนี้จีนจะยังไม่เข้าร่วมในสมรภูมิซีเรีย แต่หากสถานการณ์บานปลาย จนกระทบต่อจีนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยากที่จะคาดเดาว่าจีนจะวางเฉยแบบนี้อีกนานเท่าใด.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com