หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบตัวผู้ต้องหาแก๊งฆ่าหั่นศพน้องแอ๋มที่จ.ขอนแก่นได้แล้วนั้น ไทยรัฐออนไลน์ รวบรวมข่าวที่เกิดขึ้นในคดีนี้ เริ่มต้นด้วยการย้อนไทม์ไลน์แก๊งสวยหั่นศพก่อนถูกไล่ล่าจนมุมที่เมียนมา โดยจุดเริ่มต้นของคดีนี้ เกิดจากเพื่อนสนิทของน้องแอ๋ม น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย อายุ 22 ปี เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ว่า น้องแอ๋ม หายตัวไปหลังจากไปทำงานที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง โดยวันต่อมามีชาวบ้านพบศพหญิงสาวถูกฆ่ายัดถังดำฝังดินในป่าข้างทางใน อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น

จากนั้น ตำรวจจึงได้เรียกตัว นายศักดิ์ชัย บาทเต็มดี สามีน้องแอ๋ม เข้าสอบสวนนานกว่า 8 ชั่วโมง แต่ไม่พบพิรุธ ขณะที่ โลกโซเชียลพิพากษาไปแล้วว่าเขาเป็นมือมีดฆ่าหั่นศพภรรยาตัวเอง

ต่อมา วันที่ 29 พ.ค. ตำรวจได้ขอหมายจับ 4 ผู้ต้องหาที่ร่วมกันฆ่าหั่นศพและซ่อนเร้นทำลายศพ ประกอบด้วย นายวศิน นามพรหม, เปรี้ยว, เอิร์น และ แจ้ พร้อมมีรายงานข่าวแจ้งว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีไปเมียนมาแล้ว

...

ภายหลังจากที่ทราบตัวฆาตกรตัวจริงที่ลงมือฆ่าหั่นศพน้องแอ๋มแล้ว สามีของน้องแอ๋ม นายศักดิ์ชัย บาทเต็มดี ก็หลุดพ้นคำครหาต่างๆ ที่พิพากษาให้เขาเป็นมือมีดฆ่าแฟนตัวเอง ซึ่งนายศักดิ์ชัย ยอมรับว่า ไม่รู้สึกเครียดกับคำครหาที่ว่าเป็นฆาตกร เนื่องจากมีพยานหลักฐานที่อยู่ชัดเจน และที่สำคัญ เขาบอกว่า “ผมไม่มีทางที่จะลงมือทำแบบนี้กับคนที่ตัวเองรักอย่างแน่นอน”

ขณะที่ กระแสข่าวในโลกโซเชียลของ ‘เปรี้ยว’ มือฆ่าหั่นศพ ยังมาแรงแซงข่าวอื่น โดยในครั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากสมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่งว่า มีรายการโทรทัศน์ใน จ.ขอนแก่น ได้ไปถ่ายทำที่ร้านสักลาย โดยนางแบบที่เป็นพรีเซนเตอร์ เปิดเรือนร่างให้สักนั้นคือ น.ส.ปรียานุช หรือ เปรี้ยว โดยช่างสักให้ข้อมูลว่า ลายดังกล่าวเป็นลายเกอิชาสวมชุดกิโมโน ซึ่งการสักลายเต็มแผ่นหลังต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 20-30 ชั่วโมง และไม่ใช่การทำรวดเดียวจบ ขณะที่พิธีกรได้ถามว่า ‘เจ็บไหมครับ’ ทาง น.ส.ปรียานุช ได้ตอบว่า “ไม่ค่ะ เบามาก เหมือนนวดหลัง”

แต่แล้วยังเกิดเป็นความสงสัยในลักษณะของการหั่นศพอยู่ ว่า ฆาตกรส่วนใหญ่มักจะคิดอะไรอยู่ถึงลงมือได้โหดเหี้ยมอย่างนี้ รวมทั้งแท้จริงแล้วคนหั่นชำนาญหรือไม่ โดยผลจากการอ่านข้อมูลและรูปภาพตามที่สื่อต่างๆ ได้นำเสนอ เพื่อวิเคราะห์การหั่นศพครึ่งร่างในคดีนี้ นพ.สุรณรงค์ ศรีสุวรรณ ผู้อำนวยการกองนิติวิทยาศาสตร์บริการ ผู้เชี่ยวชาญการสืบจากศพ ระบุว่า เหตุผลของฆาตกรส่วนใหญ่ ที่ลงมือหั่นศพคู่กรณี มี 2 รูปแบบ คือ 1. ปิดบังซ่อนเร้น อำพรางศพ และไม่ต้องการให้รู้ว่าเหยื่อเป็นใคร และ 2. เพราะต้องการระบายความแค้น

ทั้งนี้ นพ.สุรณรงค์ ฟันธงว่า ฆาตกรไม่ใช่มืออาชีพ และหั่นศพไม่เป็นแน่นอน เพราะการหั่นช่วงท้อง คือการหั่นศพ ที่ทำได้ยากที่สุด! และมันยังอาจเป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญอีกประการคือ ฆาตกรที่ลงมือหั่นศพ ต้องมีมากกว่า 1 คน แน่นอน

...

นอกจากนี้ หลากหลายกระแสยังพูดถึงมูลเหตุจูงใจในการก่อคดีสะเทือนขวัญคนไทยทั้งประเทศ ว่า อาจจะเป็นเพราะ ‘เปรี้ยว’ เคียดแค้นที่น้องแอ๋ม ผู้ตาย นำความลับเรื่องยาเสพติดของ ‘ฟร้อน’ นายวงศกร วรนาม สามีเก่าของเปรี้ยว ซึ่งเพิ่งแต่งงานได้เพียงเดือนเดียวก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับในข้อหา ครอบครองยาเสพติด จึงทำให้เธอแค้นจนอยากเอาชีวิตของผู้ที่ทำร้ายคนรักของเธอ

...

แต่แล้วผ่านมาหลายวันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังจับกุมแก๊งสวยหั่นศพไม่ได้ โดยจับได้เพียงนายวศิน นามพรหม โดยให้การว่า ไม่ได้เป็นคนหั่นศพ และยังมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า แก๊งสามสาวหลบหนีไปยังประเทศเมียนมา โดยมี ‘พันโทยี่เซ’ เจ้าพ่อยาเสพติดรายใหญ่คุ้มกะลาหัวอยู่ ซึ่งชื่อของพันโทยี่เซ มักจะปรากฏตามข่าวการจับกุมแก๊งค้ายาหลายต่อหลายครั้ง

ทั้งนี้ พ.ท.ยี่เซ ยังเคยปลอมบัตรมาใช้ชื่อไทย นายชัยวัฒน์ พรสกุลไพศาล โดยอดีตเป็นทหารของขุนส่า คุมพื้นที่ด้านตรงข้ามบ้านผาฮี้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ถือเป็นตัวการใหญ่ในการผลิตยาเสพติดตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่า มีพื้นที่อิทธิพลและแหล่งผลิตยาเสพติด ที่บริเวณบ้านน้ำปุ๋งใหม่ บ้านสามปีตรงข้าม ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยจัดหาสารตั้งต้นจากไทยเข้าสู่แหล่งผลิตและลักลอบนำยาเสพติดเข้าจำหน่ายในไทย

...

ในท้ายที่สุด แก๊งสามสาวก็ไม่รอดพ้นเงื้อมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจไปได้ โดยในช่วงกลางดึกวันที่ 3 มิ.ย. ทั้งสามคนเดินทางมาติดต่อขอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่เมียนมา โดยเบื้องหลังการจับครั้งนี้เป็นการประสานจากทางการไทย กับทาง ทีบีซี เมียนมา จึงมีการกดดันอย่างหนักในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก ด้วยการตรวจค้นตามสถานบันเทิง ตามบ้านพักของผู้ต้องสงสัย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้สามสาวอยู่ไม่ได้ จึงเข้ามามอบตัวด้วยตัวเอง เพราะถูกกดดันทุกรูปแบบ

พ.อ.กิดากร จันทรา ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง เปิดเผยหลังการจับกุมว่า ทั้งสามสาวได้หลบหนีเข้าไปยังเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. เมื่อไปถึงก็เดินทางออกไปกับแขก และแขกก็พาไปนอนโรงแรมแถวจ.ท่าขี้เหล็ก พอนอนค้างได้ 1 คืนได้เดินทางต่อไปพักแถวเมืองโก แต่แล้วกลับถูกเจ้าหน้าที่เมียนมากดดันอย่างหนัก จึงให้คนมาส่งใกล้ๆ กับ จ.ท่าขี้เหล็ก แล้วนั่งแท็กซี่ต่อ เพื่อติดต่อเข้ามอบตัว

ทั้งนี้ สำหรับเบื้องหลังที่แท้จริงที่ทำให้จับกุมทั้งสามคนได้นั้น เป็นเพราะ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ให้มีการประสานงานกับศูนย์ประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ระดับท้องถิ่นหรือทีบีซี ของฝ่ายเมียนมาอย่างใกล้ชิด และทางฝ่ายทีบีซีเมียนมาเอง ก็มีความจริงใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงขนาดออกไปประกาศตามสถานบริการทุกแห่งใน จ.ท่าขี้เหล็ก ว่า หากพบว่ามีสถานบริการแห่งใดให้ที่พักพิงแก่ทั้ง 3 ผู้ต้องหา จะมีโทษหนัก ซึ่งจุดนี้เองทำให้ทั้ง 3 ผู้ต้องหาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากมอบตัวในที่สุด

นอกจากนี้ แหล่งข่าวผู้ไล่ล่าขบวนการสีเทา ยังเปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ ถึงคดีนี้ด้วยว่า การที่แก๊งสามสาวหนีออกนอกประเทศไปแล้ว 10 วัน แต่ย้อนกลับมาเพื่อเข้ามอบตัวในครั้งนี้ มีเบื้องหลังแน่นอน โดยอาจจะถูกบีบจนอยู่ไม่ได้ หรือคนที่อุ้มไว้เอามาปล่อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากผู้ใหญ่ฝ่ายไทยโทรไปกดดันผู้มากบารมีของเมียนมา ด้วยประโยคที่ว่า “ใครที่กำลังดูแลอยู่ ปล่อยมันออกมาให้เค้าซะ ไม่งั้นอาจจะเดือดร้อนไปถึงกลุ่มนะ!” แล้วแบบนี้ใครจะกล้าไม่ปล่อยออกมา เพราะหากยังขืนอุ้มเอาไว้อยู่ เดือดร้อนแน่ นั่นจึงเป็นที่มาที่ว่า เหตุใดฆาตกรหั่นศพ จึงได้ลงทุนนั่งรถแท็กซี่มาท่าขี้เหล็ก แล้วยอมเดินมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวแบบง่ายๆ

ส่วนเหตุผลที่นำไปสู่การลงมืออย่างเหี้ยมโหดนั้น แหล่งข่าวเผยว่า ไม่น่าจะมาจากผู้ตายไปให้ข่าว จนกระทั่งอดีตสามีของเปรี้ยวถูกจับกุม แต่น่าจะมาจากการทำให้คนสำคัญคนหนึ่งของมือมีด ต้องถูกติดคุกมากกว่า รวมถึงความแค้นสะสมจากสารพัดปัญหา ที่เคย “หักกัน” มาก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้วด้วย

กระทั่ง เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดแถลงข่าว โดยระบุว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ลงมือเพราะความแค้นส่วนตัว เนื่องจากผู้ตายไปให้เบาะแสเรื่องค้ายาเสพติดแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกระทั่งมีการขยายผลไปจับกุมอดีตสามี และไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้ามาก่อน ซึ่งไม่ได้เจอผู้ตายมา 1 ปี แต่บังเอิญขับรถไปเจอจึงเรียกให้ขึ้นรถ ก่อนที่จะมีปากเสียงจนนำมาซึ่งการลงไม้ลงมือจนผู้ตายเสียชีวิตบนรถ

หลังจากพลั้งมือฆ่าผู้ตาย ก็เกิดความตกใจ ในหัวคิดได้เพียง 2 วิธีในการอำพรางศพ คือ 1. ถ่วงน้ำ 2. หั่นศพ ส่วนสาเหตุที่เลือกวิธีการหั่นศพ เพราะคิดว่าหากนำไปถ่วงน้ำ เชื่อว่าอีกไม่กี่วันศพก็คงจะโผล่ จึงตัดสินใจ หั่นศพ คิดได้ดังนั้นจึงแยกย้ายกันไปซื้ออุปกรณ์ และยอมรับว่าไม่ได้หั่นเพียงคนเดียว แต่มีนายวศินเป็นผู้ช่วยด้วย

ส่วนที่ยอมมอบตัว ผู้ต้องหาอ้างว่า ไม่รู้จะหนีไปหลบที่ไหน อีกทั้ง ไม่ต้องการให้คนที่เอื้อเฟื้อให้ที่พักพิงได้รับความเดือดร้อนไปด้วย หลังจากถูกหน่วยงานทางราชการไทยเข้ากดดันอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยืนยันว่า คดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ม.289 นี้ โทษสูงสุด คือ ประหารชีวิต!

ข่าวที่เกี่ยวข้องทั้งหมด คลิกที่นี่