สาวซิ่งเก๋งชน 3 แม่ลูก เบี้ยวนัดไกล่เกลี่ยรอบ 3 อ้างกำลังรวมทรัพย์สินเพื่อเยียวยา ขณะที่สามีผู้เสียชีวิต ไม่ขอเจรจาอีกแล้ว ส่งทนายดำเนินการฟ้องตามกฎหมาย

จากกรณี นางเย็นจิตร รัตนภา อายุ 52 ปี นายกฤตเมธ รัตนภา อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.4 และ ด.ญ.บุณยานุช รัตนาภา อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ม.2 ถูกรถเก๋งสีดำ ยี่ห้อ BMW ป้ายประมูล หมายเลขทะเบียน กจ 44 นครศรีธรรมราช ที่มีนางสาวจิรันธนิน แตงขาว อายุ 30 ปี ขับด้วยความเร็วสูง 207 กม./ชม. พุ่งชนท้ายขณะสามแม่ลูกขับรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า สีดำ จนเสียชีวิตทั้ง 3 แม่ลูก เหตุเกิดเชิงสะพานถนนสาย หมู่ 9 ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร เมื่อค่ำวันที่ 27 พ.ย.67 ที่ผ่านมา และได้เก็บศพไว้ที่มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ จนกว่าคดีจะได้รับความเป็นธรรม ตามข่าวที่เสนอนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 25 ธันวาคม 2567 นายประกฤษณ์ รัตนภา อายุ 50 ปี ซึ่งเป็นสามีและพ่อของผู้เสียชีวิต พร้อมกับญาติ ได้เดินทางมาที่จัดเก็บศพลูกและเมียทั้ง 3 ศพ ณ มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ โดยซื้อข้าวมันไก่ร้านที่ภรรยาและลูกชอบทานมาให้ พร้อมจุดธูปบอกกล่าวถึงการในครั้งนี้ว่า ได้มาเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีเป็นครั้งที่ 3 เกี่ยวกับข้อพิพาทเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากการกระทำความผิดทางอาญา พร้อมยกมือไหว้อธิษฐานให้ภรรยาและลูกทั้งสองช่วยดลจิตดลใจให้การเกลี่ยไกล่ในครั้งนี้ตกลงกันได้ด้วยดี เพื่อจะนำร่างไปทำการฌาปนกิจตามประเพณี จะได้ไปผุดไปเกิดเสียที

นายประกฤษณ์ เผยว่า วันนี้อัยการได้ทำหนังสือเชิญตัว น.ส.จิรันธนิน คู่กรณีที่ขับรถบีเอ็มชนเมียลูกเสียชีวิตมาไกล่เกลี่ยในการเยียวยาในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาสองครั้งทางคู่กรณีก็ยังไม่มีความจริงใจที่จะมาไกล่เกลี่ยเลย และในใจตนเองก็ยังเชื่อว่าในวันนี้คู่กรณีก็ยังไม่มาเช่นเดิม และหลังจากนี้ หากยังไม่มาอีก ก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของทนายแก้ว ที่จะดำเนินฟ้องร้องต่อไป

...

ต่อมาเวลา 13.30 น. นายประกฤษณ์ พร้อมญาติๆ เดินทางมาที่ สำนักงานอัยการจังหวัดชุมพร เพื่อเข้าพบทาง นายณัฐพงศ์ บุญทองคง อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จ.ชุมพร ตามนัดหมาย เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยเยียวยาค่าสินไหม กับคู่กรณีคือ น.ส.จิรันธนิน แต่ผลปรากฏว่า น.ส.จิรันธนิน หรือตัวแทน ไม่ได้เดินทางมาตามนัดหมายแต่อย่างใด

นายณัฐพงศ์ เผยหลังจากที่ใช้เวลาพูดคุยกับนายประกฤษณ์ และญาติ กว่า 1 ชั่วโมงว่า สำหรับการไกล่เกลี่ยในครั้งนี้ คู่กรณีไม่มา เนื่องจากทาง น.ส.จิรันธนิน ได้แจ้งมาว่า ไม่สามารถเดินทางมาได้ สืบเนื่องมาจากอยู่ระหว่างการรวบรวมทรัพย์สินเพื่อนำมาเยียวยาให้กับผู้เสียหาย ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิทธิของทางคู่กรณีที่จะมาหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ นายประกฤษณ์ เองหลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้ว สรุปได้ว่าจะไม่ประสงค์ที่จะเชิญตัวคู่กรณีมาเจรจาไกล่เกลี่ยอีกต่อไปแล้ว ซึ่งก็จะมอบหมายให้ทางทนายความดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่งกับ น.ส.จิรันธนิน ในชั้นศาลต่อไป

ต่อมา นายประกฤษณ์ พร้อมญาติ ได้เดินทางมาพบ พ.ต.อ.ปัญญา ท้วมศรี ผกก.สภ.เมืองชุมพร เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี เนื่องจากมีความกังวลและเกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งหวั่นว่าทางคู่กรณีจะใช้เส้นสายล้มคดีจากหนักให้เป็นเบา

พ.ต.อ.ปัญญา เผยว่า ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวน ได้รวบรวมพยาน หลักฐาน และสอบปากคำพยานบุคคลจนครบรอบด้าน และได้สรุปสำนวนเตรียมฟ้องศาลได้แล้ว เพียงแต่วันนี้ทราบว่ามีการนัดมาไกล่เกลี่ยค่าสินไหม ซึ่งเป็นคดีแพ่ง จึงรอว่าข้อตกลงเป็นอย่างไรเพื่อนำมาประกอบคู่กับสำนวนคดีอาญาในการส่งฟ้องศาลในครั้งเดียวกัน แต่เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ทางพนักงานสอบสวน ก็จะปิดสำนวนพร้อมส่งศาล คาดว่าหลังปีใหม่ ประมาณวันที่ 7 มกราคม 2568 ทั้งนี้ก็จะพยายามดูวันที่เหมาะสมอีกครั้ง และขอยืนยันว่าจะให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ตำรวจจะทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่กดดันแต่อย่างใด ประกอบกับทาง ผบ.ตร. ได้ติดตามและกำชับเร่งรัดคดีให้ครอบคลุมรอบด้านที่สุดเพื่อจะได้คลี่คลายคดีสร้างความกระจ่างให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป

พ.ต.อ.ปัญญา ยังกล่าวว่าสำหรับข้อหานั้นทางพนักงานสอบสวน ได้ดำเนินคดีในข้อหา ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ, ขับรถขณะมึนเมา, ขับรถไม่มีใบอนุญาตขับขี่, ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด, และหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือ โดยทาง น.ส.จิรันธนินให้การรับสารภาพทั้งหมด แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาหลบหนี ซึ่งก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหาทั้งนี้ก็อยู่ที่ศาลว่าจะพิพากษาออกมาอย่างไร แต่ขั้นตอนที่จะถึงชั้นศาล ทุกถ้อยคำในสำนวนทางอัยการจังหวัด ก็จะตรวจสอบกลั่นกรองอีกครั้งเพื่อให้รัดกุมที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลเลือดของผู้ต้องหาที่ส่งไปตรวจออกมาหรือยัง พ.ต.อ.ปัญญา กล่าวว่าเรื่องผลเลือดเอาตรง ๆ เลยนะ เนื่องจากว่าตัวของผู้ต้องหาหรือคู่กรณีได้เข้ามามอบตัวกับพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุนานประมาณ 8 ชั่วโมง ทางตำรวจได้เป่าปริมาณแอลกอฮอล์ทางลมหายใจแล้วค่าวัดได้อยู่ที่ 29 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่เวลาส่งเลือดไปตรวจปรากฏว่าค่าปริมาณในเลือดมันน้อยต่ำกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อต่ำกว่า 20 แล้วทางแพทย์จะไม่รับรองผล นี่คือหลักการของทางการแพทย์ที่ตอบมาอย่างนี้

...

พ.ต.อ.ปัญญา กล่าวต่อว่าแต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียหายคดี ต้องเข้าใจความหมายนะ เพราะว่าเราได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ด้วยวิธีเป่าทางลมหายใจไปแล้ว มันก็จะมีสูตรในการคำนวณตามประกาศของแพทย์สภาว่า สามารถคำนวณย้อนหลังได้ว่าหลังจากที่เป่าแล้วห่างกันจากช่วงเกิดกี่ชั่วโมง จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้