สืบนครบาลรวบ "อาร์มลายสัก" ภัยร้ายวันสงกรานต์ ใช้ความสนิทกับผู้ปกครองเหยื่อ ลวงเด็กสาว อายุ 16 ปี ไปเล่นสาดน้ำ-มอมเบียร์จนเมา ย่ำยีจนสลบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 เม.ย.67 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.1 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว รอง ผกก.ฯ, พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ต.วศิน อินทร์แก้ว สว.ฝอ.บก .สส.บช.น. ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบนครบาล ร่วมกันจับกุม นายสมภพ ขันเพ็ชร์ หรือ "อาร์ม ลายสัก" อายุ 40 ปี เป็นชาวแขวงคลองบางพราน เขตบางบอน กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาธนบุรีที่ จ.268/2566 ลงวันที่ 11 ก.ค. 66 ข้อหา "ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย เพื่อการอนาจาร"
สืบเนื่องจาก แม่ของ น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 16 ปี รับโทรศัพท์จากลูกสาวได้ยินเสียงปลายสายเพียงว่า "มันจะปล้ำหนู" ก่อนโทรศัพท์จะถูกตัดสายไป หลังจากวางสาย ผู้เป็นแม่จึงตัดสินใจเดินทางไปยังหอพักที่ลูกสาวอยู่ทันที เมื่อไปถึงได้ยินเสียงลูกสาวตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมพบภาพ นายสมภพ กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ พร้อมครางเรียกชื่อลูกสาวให้ออกมาจากห้องน้ำ ตนจึงปรี่เข้าไปผลัก นายสมภพ ก่อนเข้าไปปลอบลูกสาวที่หลบอยู่ในห้องน้ำ ส่วน นายสมภพ ฉวยโอกาสหนีออกจากห้องไปทันที
จากการสอบถาม น.ส.บี ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนมาอาศัยอยู่กับญาติที่หอพักย่านหนองแขม เพื่อจะเที่ยวเล่นน้ำสงกรานต์ แต่คืนวันเกิดเหตุ นายสมภพ ซึ่งตนนับถือเป็นลุง ได้ส่งข้อความมาทางเฟซบุ๊ก ชักชวนตนไปเล่นน้ำสงกรานต์ ด้วยความที่นายสมภพเป็นเพื่อนรักของพ่อ ตนจึงเชื่อใจและยอมไปด้วย แต่แทนที่จะพาตนไปเล่นน้ำ นายสมภพ กลับพาตนไปที่บ้านย่านบางบอน และชักชวนตนให้ดื่มเบียร์ โดยบอกว่าเสร็จแล้วจึงจะพาตนไปเล่นน้ำ จนตนเมาไม่ได้สติ จึงถูก นายสมภพ นำตัวขึ้นไปยังชั้น 2 ของบ้าน ก่อนลงมือข่มขืนตนจนสลบ
...
หลังเกิดเรื่อง ผู้เป็นแม่ได้พา น.ส.บี เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.บางขุนเทียน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายสมภพ นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาธนบุรีออกหมายจับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบนครบาล จึงลงพื้นที่ไล่ล่าติดตามตัวผู้ต้องหารายนี้ทั่วพื้นที่ กทม. แต่ผู้ต้องหารายนี้เป็นอดีตนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่ช่ำชองวิธีการหลบหนี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา ทางตำรวจสืบทราบว่าคนร้ายกบดานอยู่ที่บ้านพักในตัวเมืองเพชรบุรี จึงนำกำลังบุกไปจับกุมตัว เมื่อตำรวจไปถึงคนร้ายยังไม่ยอมเปิดประตูให้ เจ้าหน้าที่จึงทำการทุบกระจกประตู คนร้ายได้แง้มผ้าม่านมาดู เห็นเจ้าหน้าที่กำลังจะพังประตูเข้ามา จึงให้แฟนสาวเดินมาเปิดประตูแต่โดยดี จากนั้นจึงถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด
จากการสอบสวน นายสมภพ ให้การปฏิเสธว่า ดั้งเดิมเติบโตมาในย่านบางบอน จบการศึกษาชั้น ปวช. เมื่อจบการศึกษาได้ประมาณ 1 ปี เริ่มหันเข้าสู่วงการค้ายาเสพติด และขายเรื่อยมา ขณะอายุ 19 ปี ถูกจับกุมคดีจำหน่ายยาเสพติด และวนเวียนอยู่ในวงการค้ายาเสพติด เข้า-ออกคุกเป็นประจำ ยอมรับว่าเคยร่วมกันกับพวกชาวไทยและชาวมาเลเซียที่รู้จักกันในคุก ไปรับยาเสพติดที่ลักลอบขนมาจากประเทศมาเลเซีย มาตระเวนขายในพื้นที่ กทม.แต่หลังจากพ้นโทษออกมาปี 63 หันมาประกอบอาชีพสุจริต ตั้งแต่ขายอาหาร เป็นพนักงานขนส่งพัสดุ เรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเมื่อวันที่เกิดเหตุ ตนได้ไปรับน.ส.บี ผู้เสียหาย มาเพื่อจะพาไปเล่นน้ำสงกรานต์จริง แต่เนื่องจากก่อนหน้านั้นตนดื่มเหล้าอยู่ที่หน้าบ้านพักกับญาติ จึงได้พาน้องไปที่บ้านเพื่อจะดื่มเหล้าต่อ และได้พากันดื่มกินกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อเห็นว่า น.ส.บี ดื่มจนเมาไม่ได้สติ จึงบอกให้ขึ้นไปนอนที่ห้องพักของตน เมื่อ น.ส.บี ขึ้นไปนอน ตนจึงเข้าไปนอนในห้องและนอนด้วยกันจริง แต่จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เนื่องจากตนดื่มสุราและเสพยาเคจนเมาไม่ได้สติ และที่มากบดานอยู่ที่ จ.เพชรบุรี นั้น เพราะรู้ตัวว่ามีหมายจับ ใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ออกไปไหน รับประทานอาหารจากร้านสะดวกซื้อ อยู่แต่ในบ้าน
จากการตรวจสอบประวัติ พบว่า นายสมภพ ผู้ต้องหา เคยต้องโทษ 3 คดี คือ เมื่อปี 47 พื้นที่ สน.บางขุนเทียน ถูกจับกุมข้อหา จำหน่ายยาเสพติดฯ พร้อมของกลาง 190 เม็ด ปี 49 พื้นที่ สน.ท่าข้าม ถูกจับกุมข้อหา จำหน่ายยาเสพติดฯ พร้อมของกลาง 120 เม็ด และปี 56 พื้นที่ สน.สุทธิสาร ถูกจับกุมข้อหา มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาอี) และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 (ยาเค) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมพวกชาวไทย-มาเลเซีย เป็นขบวนการขนยาข้ามชาติผ่านชายแดนมาเลย์ ตรวจยึดของกลางเป็นยาเค 3 กิโลกรัม ยาอี 400 เม็ด
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า ทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา เพราะคำพูดของเด็กนั้นบริสุทธิ์มากกว่า และยังมีพยานหลักฐานอื่นเชื่อมโยง ทำให้ศาลอนุมัติหมายจับจากพฤติการณ์ในคดีนี้ นับได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่อุกอาจและสะเทือนใจ ผู้ต้องหารายนี้ใช้ความสนิทสนมกับผู้ปกครองของเหยื่อ ออกกลอุบายหลอกล่อ ใช้เทศกาลสงกรานต์เป็นข้ออ้างให้หลงเชื่อโดยสนิทใจ จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน สน.บางขุนเทียน เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป